Family Business : ธีระพงค์ นววัฒนทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
ธีระพงค์ นววัฒนทรัพย์
กรรมการผู้จัดการ
บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล
จำกัด
คำพูดเป็น”ทองคำ”
กว่า 2 ทศวรรษบนถนนสายทองคำของกลุ่ม “วายแอลจี” จนก้าวสู่บริษัทซื้อขายทองคำแท่งรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยมีเด็กหนุ่มที่ชื่อ“ธีระพงค์
นววัฒนทรัพย์” ลูกชายคนเดียวของตระกูล “นววัฒนทรัพย์” ร่วมเดินเคียงข้างครอบครัวมาตลอดเส้นทาง
ธีระพงค์ เริ่มต้นทำธุรกิจในวัยเพียง 18 ปี
หลังเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์
และต้องพับแผนศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในต่างประเทศตามที่ได้วาดหวังไว้
เช่นเดียวกับพี่สาว “ฐิภา
นววัฒนทรัพย์” ซึ่งในขณะนั้นมีอายุเพียง
20 ปี เมื่อเรียนจบระดับปริญญาตรีจากประเทศอังกฤษก็บินกลับบ้านเกิดเพื่อทำธุรกิจ
สองพี่น้องได้รับมอบหมายจากพ่อแม่
(ธณัณพงษ์และพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์) ให้ทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออก
และให้บริการซื้อ-ขายทองคำแท่ง ภายใต้ชื่อ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน
อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่ก่อตั้งเมื่อ 17 ปีก่อน หรือพ.ศ.2546 โดยธีระพงค์
รับผิดชอบฝ่ายการตลาด
กลุ่มบริษัท วายแอลจี มีจุดเริ่มต้นมาจากบริษัท
ยูหลิมโกลด์ แฟคตอรี่ จํากัด ในปี 2546
เป็นบริษัทผู้ผลิตและส่งออกเครื่องประดับจากทองคําและเพชรพลอยแท้
หรือธุรกิจจิวเวลรี่ ที่มีประสบการณ์การดำเนินธุรกิจส่งออกมากกว่า 20 ปี
จนมีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับอย่างมากจากนานาประเทศทั่วโลก
เริ่มต้นจากศูนย์...ไม่ง่าย
การเริ่มต้นทำธุรกิจของธีระพงค์ไม่ง่ายแม้เขาจะได้สัมผัสและซึมซับการทำธุรกิจจากพ่อแม่ที่ปลูกฝังมาตั้งแต่วัยเยาว์โดยบริษัท
วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล มีเงินเริ่มต้นทำธุรกิจที่ 150 ล้านบาท
ซึ่งธีระพงค์เล่าว่าต้องทำวอลุ่มหรือขายให้ได้มากที่สุดจากเงินทุนที่ได้มา
และลูกค้ารายแรกของบริษัท คือ ยูหลิมโกลด์ฯ ซึ่งเป็นบริษัทของคุณพ่อ-คุณแม่ กระทั่งต่อมาฐานลูกค้าได้ขยายไปยังร้านค้าทองคำ
“ช่วง
3 ปีแรกที่ทำงานกับพี่สาว ด้วยความที่เราเป็นเด็ก ทุกอย่างจึงเริ่มต้นจากศูนย์
ความรู้ที่ได้จากการทำธุรกิจมาจากตำรา และลูกค้าสอน
ส่วนคุณพ่อ-คุณแม่จะคอยเป็นพี่เลี้ยงหรือให้คำแนะนำอยู่เบื้องหลัง
และถ้ามีปัญหาก็ให้ไปปรึกษาถึงวิธีการแก้ปัญหา”
ธีระพงค์เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นการทำธุรกิจค้าทองคำว่า
ช่วงนั้นเขาและพี่สาวถือว่าเป็นหน้าใหม่ในวงการ
ยังไม่มีสายสัมพันธ์หรือเป็นที่รู้จักของร้านทอง ดังนั้น ต้องทำงานไป เรียนรู้ไป
นอกจากนี้
ธุรกิจของวายแอลจีในยุคนั้นค่อนข้างเป็นหน้าใหม่ในตลาดค้าทองคำแต่พวกเขาโชคดีที่ได้รับคำแนะนำจากลูกค้าถึงวิธีการทำงาน
วิธีการดูตลาดทองคำ ซึ่งคำแนะนำเหล่านี้ช่วยได้มากพอสมควร
หลังจากทำได้ประมาณ 3
ปี ครอบครัวมองว่า ธุรกิจค้าทองคำมีศักยภาพมากกว่าธุรกิจจิวเวลรี่
ประกอบกับคุณพ่อ-คุณแม่เริ่มเหนื่อยกับการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อแสดงสินค้าในงานต่างๆ
ถึงปีละ 13 ครั้ง จุดเปลี่ยนธุรกิจวายแอลจีจึงเกิดขึ้นอีกครั้งด้วยการหันมาทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออกทองคำเต็มตัว
โดยมีลูกค้าเป็นร้านค้าทองคำ ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่
“คุณแม่มองว่าธุรกิจค้าทองคำทำง่ายกว่า
และในช่วงนั้นเกิดวิกฤติที่สหรัฐฯ ซึ่งลูกค้าจะมีปัญหาหลายๆด้าน
ประกอบกับธุรกิจค้าทองคำแท่ง เป็นธุรกิจเงินสดมีเงินหมุนเวียนค่อนข้างเร็ว
คุณพ่อคุณแม่จึงได้โยกมาทำตรงนี้ด้วย”
ความท้าทายของนักธุรกิจวัย 18
ธีระพงค์เล่าว่า การค้าขายทองคำในสมัยก่อน
ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะติดต่อกับการฝ่ายการตลาดที่เป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเนื่องจากเป็นความเชื่อของชาวจีนอีกทั้งช่วงนั้นบริษัทมีพนักงานเพียง
20 คนเท่านั้น ในจำนวนนั้นมีฝ่ายขายมีเพียง 4 คน รวมธีระพงค์กับพี่สาวอยู่ด้วย
แน่นอนว่าอุปสรรคและความท้าทายแรกที่สองพี่น้องต้องเผชิญ
คือความเชื่อมั่นจากลูกค้าร้านทองเนื่องจากธีระพงค์ มีข้อจำกัดด้านอายุ จึงต้องใช้วิธีแอบเพิ่มอายุตัวเองให้ดูมีความน่าเชื่อถือ ดังนั้น จึงต้องใช้วิธีพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์แทนการออกไปพบปะลูกค้า
“ด้วยความที่ผมเป็นเด็ก
การติดต่อกับลูกค้าจึงเน้นใช้ช่องทางโทรศัพท์แทนการพบปะเพราะกลัวว่าลูกค้าจะไม่เชื่อถือหากเห็นว่าเราอายุยังน้อย
และเมื่อลูกค้าถามว่าอายุเท่าไร ผมจะบอกอายุ 23 ปี“
เปิดสมุดหน้าเหลืองหาลูกค้า
สำหรับบิลแรกหรือยอดขายแรกที่ได้มาไม่ง่ายแม้ครอบครัวจะมีพื้นฐานจากธุรกิจจิวเวลรี่
ซึ่งธีระพงค์บอกว่า ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือนกว่าจะได้ลูกค้ารายแรกด้วยวิธีการเปิดสมุดหน้าเหลือง
(เยลโล่เพจเจส) เป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้มีการติดต่อกับลูกค้าเดิมของคุณพ่อบ้าง
“ช่วงเวลานั้นเราต้องโทรศัพท์หาลูกค้าบ่อยมาก
เช้า กลางวัน เย็นต้องทำงานกันอย่างหนัก
จนได้วางบิลแรกเป็นบริษัทจิวเวลรี่ส่งออกของครอบครัว คือ
ยูหลิมโกลด์ฯต่อมาได้ขยายฐานลูกค้าสู่ร้านทอง
และด้วยเพราะฐานการทำธุรกิจของวายแอลจีฯ
มีจุดเริ่มมาจากธุรกิจจิวเวลรี่ส่งออกดังนั้นจึงทำให้เจาะตลาดรายย่อยยาก
จึงต้องเน้นการค้าขายทองคำกับลูกค้ารายใหญ่ คือ ร้านทอง”
หลังจากทำในตำแหน่งฝ่ายขายได้สักระยะ
ธีระพงค์ก็ได้รับมอบหมายงานอยู่อีกหลายตำแหน่งซึ่งเป็นนโยบายของคุณพ่อที่ต้องการให้เรียนรู้ระบบงานจากทุกแผนกเพื่อปูพื้นฐานสำหรับการก้าวเข้าสู่ตำแหน่งที่ใหญ่โตขึ้นในอนาคต
ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องดีที่ได้ผ่านงานในบริษัทมาเกือบทุกตำแหน่ง
ความน่าเชื่อถือของลูกค้า คือ หัวใจสำคัญ
สำหรับคู่ค้าในธุรกิจค้าทองคำ
ส่วนใหญ่เป็นการซื้อมา-ขายไปกับร้านค้าทองทุกรายที่อยู่ในตลาดและด้วยความที่วายแอลจีในขณะนั้นถือว่าเป็นน้องใหม่
ธีระพงค์บอกว่าความท้าทายของเขาคือความมั่นคงและความน่าเชื่อถือ
หลักในการทำธุรกิจที่ธีระพงค์ยึดถือมาตลอด นั่นก็คือ
เขาเชื่ออยู่เสมอว่า “คำพูดเป็นทองคำ” หมายความว่าพูดอะไรออกไปแล้วต้องทำในสิ่งที่พูดให้ได้
เนื่องจากการส่งคำสั่งซื้อขายทองคำเป็นการทำรายการผ่านทางโทรศัพท์ และเรื่องเงินๆ
ทอง ๆ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน
“ในตลาดทองคำ
สินค้าจะเหมือนกันหมด ดังนั้นจะแข่งขันกันเรื่องราคาสำหรับวายแอลจีจะสร้างจุดเด่นเรื่องการให้บริการ
เพื่อให้ลูกค้าเลือกและเชื่อมั่นในองค์กร”
พร้อมกันนี้ได้ยกตัวอย่าง เช่น
ลูกค้าเริ่มต้นซื้อทองคำกับวายแอลจีแค่ 1-2 กิโลกรัม
แต่จะทำอย่างไรให้มีการทำธุรกรรมหรือซื้อเพิ่มเป็น100-200 กิโลกรัม ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่ต้องเผชิญกันมาตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจว่าจะทำอย่างไรให้ลูกค้าเชื่อมั่นและไว้ใจ
ซึ่งสุดท้ายแล้วเขาก็ผ่านจุดนั้นมาได้
หากถามว่าในขณะนั้น ซึ่งอยู่ในช่วงวัยรุ่น
ธีระพงค์ บอกว่าตัวเขาเองก็อยากออกไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง ด้วยวัยเพียง 18-19 ปี
เป็นช่วงอายุที่อยากใช้ชีวิตให้สนุกสนานตามวัยไม่ใช่ตื่นเช้ามาก็ต้องไปทำงาน
แต่ทุกครั้งที่มีความคิดเหล่านี้เข้ามาพี่สาวก็จะเตือนสติว่า”เราไม่ใช่เด็กแล้ว
ต้องมีความรับผิดชอบ มีพนักงานที่ต้องดูแล 20 กว่าชีวิต
ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะมาดูแลชีวิตพนักงานเหล่านี้จึงทำให้กลับมาตั้งใจทำงาน
และหาเวลาปลดปล่อยในช่วงวันหยุดแทน”
คว้าปริญญาตรีตามฝัน...สู่ความท้าทายใหม่
หลังทำธุรกิจได้สักระยะ
เด็กหนุ่มคนนี้ก็มีโอกาสได้ศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในประเทศ...และนี่อาจเป็นความโหยหาลึกๆ
เพราะช่วงที่เขาโทรศัพท์เพื่อดีลขายทองคำแท่งกับลูกค้าอยู่นั้น
เหล่าเพื่อนๆได้ใช้ชีวิตตามวัย นั่นก็คือ การเล่าเรียนในมหาวิทยาลัย ได้ทำกิจกรรม
ซึ่งเป็นหนึ่งในวงจรชีวิตที่ทุกคนควรจะได้สัมผัส
“มีช่วงหนึ่งที่เห็นเพื่อนๆเรียนจบระดับปริญญาตรีทำให้ผมต้องหันกลับมามองตัวเองว่าทำแต่งาน
ยังไม่ได้ใบปริญญาเหมือนคนอื่นๆ จึงตัดสินใจเรียนต่อระดับปริญญาตรี
ประกอบกับช่วงนั้นคุณพ่อคุณแม่ได้เข้ามาช่วยดูแลธุรกิจบ้างแล้วส่วนผมก็ยังช่วยทำงานบ้างแต่ไม่
100%”
หลังเรียนจบปริญญาตรี ธีระพงค์
ได้กลับมาช่วยครอบครัวทำธุรกิจอีกครั้ง
แต่การกลับมาครั้งนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้วทั้งระบบและวิธีการทำงานที่มีความรัดกุมมากขึ้นเพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด
“ทุกคนลืมผมไปแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าหรือซัพพลายเออร์
เพราะช่วงที่ผมเรียนต่อลูกค้าจะเจรจาธุรกิจกับคุณพ่อคุณแม่โดยตรง
ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะถ้าไม่มีท่านบริษัทจะไม่ใหญ่โตขนาดนี้
ซึ่งเป็นผลจากความน่าเชื่อถือและประสบการณ์ที่พ่อแม่มีมากกว่าเรา”
ธีระพงค์กล่าวว่า
ซัพพลายเออร์หลายรายที่ยังค้าขายกับวายแอลจีอยู่ในปัจจุบันนั้น
ส่วนใหญ่เป็นความสัมพันธ์ที่พ่อแม่ของเขาสานต่อเพราะลูกค้าเชื่อถือในบริษัทสะท้อนถึงความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน
ก้าวสู่โบรกเกอร์“โกลด์ฟิวเจอร์ส”
หลังธีระพงค์คัมแบ๊กสู่เส้นทางทองคำ
หรือกลับมาช่วยครอบครัวทำงานได้สักระยะก็มีความท้าทายครั้งใหม่เกิดขึ้นในกลุ่มวายแอลจี
นั่นคือ เรื่องบุคลากรที่ต้องมีการปรับตัวตามสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
นอกจากนี้หลังตลาดสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า หรือโกลด์ ฟิวเจอร์ส (Gold Futures) ได้เปิดดำเนินการเมื่อพ.ศ.2552
ที่ถือเป็นการพลิกโฉมการลงทุนในตลาดทองคำของไทยอย่างแท้จริงนั้นถือได้ว่าเป็นความท้าทายครั้งใหม่ของวายแอลจีเช่นกัน
ทั้งนี้ กลุ่มวายแอลจี ได้รับเชิญจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้เป็น 1
ใน 5 บริษัทค้าทองคำเพื่อทำธุรกิจนายหน้าซื้อขายหรือโบรกเกอร์โกลด์ฟิวเจอร์ส
ที่ดำเนินธุรกิจโดยบริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด
สำหรับแนวโน้มราคาทองคำ ธีระพงค์มองว่า
ยังเป็นช่วงขาขึ้น แม้ในระยะสั้นจะซบเซาลงไปบ้าง แต่ไม่มาก โดยในปี 2562 ที่ผ่านมา ราคาทองคำซบเซาเล็กน้อย
ส่วนในช่วงล็อกดาวน์จากไวรัสโควิด-19 ระบาด
ธุรกิจค้าทองคำได้รับผลกระทบจากการขนส่งที่หยุดชะงักเมื่อเทียบกับในภาวะปกติเมื่อบริษัทรับซื้อทองจากลูกค้ามาแล้วก็สามารถส่งออกได้ทุกวัน
ก็ปรับมาเป็น 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์