THE GURU • BUSINESS LAW

บทเรียนนักกฎหมายธุรกิจ จากประสบการณ์ 43 ปี (ตอนที่ 1)

บทความโดย: ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์

            ความสำเร็จของผมมาพร้อมกับการเตรียมตัว ความพร้อมในความรู้และโอกาส ผมได้รับโอกาสที่ดีที่สุดตอนที่เกิดวิกฤติ 2540 ที่ได้เตรียมศึกษาเรื่องกฎหมายการปรับโครงสร้าง เมื่อโอกาสและจังหวะมาถึงเพราะมีประสบการณ์ที่เหมาะสม ความสำเร็จจึงตามมา ผมคิดว่าบทบาทหน้าที่ของผมครบถ้วน 4 อย่าง โดยเฉพาะการทำงานในฐานะครูบาอาจารย์และบทบาทในบริษัท ชีวามิตรวิสาหกิจเพื่อสังคม ที่ทำเรื่องการจากไปอย่างมีคุณภาพ

            ผมมีเรื่องอยากจะแจ้งให้ท่านผู้อ่านทราบว่า เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา ผมได้เกษียณอายุการทํางานในตำแหน่งประธานกรรมการ บริษัท เบเคอร์แอนด์แม็คเค็นซี่ จำกัด หลังจากที่ได้ทำงานที่สำนักงานแห่งนี้ มาครบ 43 ปี ผมจึงมีความคิดว่า ควรจะเกษียณและยุติการเขียนบทความด้านกฎหมายธุรกิจในฐานะนักเขียนของการเงินธนาคารด้วยเหมือนกัน เพราะผมได้เริ่มเขียนบทความด้านกฎหมายธุรกิจให้กับ วารสารการเงินธนาคาร มา 32 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2532

            อีกทั้งหลังจากนี้ไปผมคงจะไม่ได้ประกอบวิชาชีพในฐานะที่ปรึกษากฎหมายประจำเต็มเวลาอย่างที่เคยเป็นมาในช่วงตลอดเวลา 43 ปี แต่จะไปทำหน้าที่เป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาด้านการกำกับดูแลกิจการให้กับบริษัท องค์กร สาธารณกุศล มากกว่า เลยเกรงว่าจะไม่มีเวลาศึกษาค้นคว้ารายละเอียดกฎหมายด้วยตนเองเหมือนเดิม และจะทำให้ความครบถ้วน ความทันสมัย ของบทความอาจขาดหายไป

            ผมขอขอบคุณ คุณสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ที่เป็นผู้สนับสนุนให้ผมเขียนบทความให้กับ วารสารการเงินธนาคาร มาตั้งแต่ต้น และได้นำบทความต่างๆ ไปรวบรวมตีพิมพ์เป็นหนังสือเป็นคนแรก ๆ โดยมีการรวบรวมตีพิมพ์อยู่หลายเล่มรวมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

            อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าประสบการณ์ในการประกอบวิชาชีพกฎหมายตลอด 43 ปี ของผมที่ผ่านมานั้น หากได้นำมาบันทึกไว้เป็นบทเรียนของผู้สนใจในรุ่นหลัง ก็น่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย อีกทั้งผมก็กำลังที่จะเขียนหนังสือบอกเล่าประสบการณ์ชีวิตการทำงานของผมในการทำงานประจำที่ เบเคอร์แอนด์แม็คเค็นซี่ โดยขณะนี้ผมได้เริ่มต้นเขียนหนังสือ เพื่อนำประสบการณ์ในการทำงานในแต่ละช่วงเวลาที่สำคัญ ที่เกิดเหตุการณ์หรือมีธุรกรรมทางกฎหมายที่สำคัญเกิดขึ้น โดยจะได้เขียนขยาย เพิ่มเติม และปรับปรุง จากหนังสือที่ชื่อว่า "60 ปีของผม" ที่ผมได้เคยจัดพิมพ์แจกจ่าย ให้แก่บรรดาผู้ที่รู้จักมักคุ้นเมื่อตอนผมมีอายุครบ 5 รอบ เมื่อปี 2558

            ก่อนที่ผมจะเริ่มเขียนบทความแต่ละช่วงเวลาที่มีผลกระทบในเรื่องกฎหมายเศรษฐกิจ เช่น ปี 2521 ที่มีการปฏิวัติ และ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีการพัฒนาประเทศด้าน Eastern Seaboard ปี 2535 ช่วง นายกฯอานันท์ ปันยารชุน ที่มีการออกกฎหมายหลายฉบับด้านเศรษฐกิจ ช่วง ปี 2540 วิกฤติต้มยำกุ้ง รัฐบาลไทย ถูก IMF บังคับให้มีการตรากฎหมายหลายฉบับทีมีคนกล่าวว่าเป็น กฎหมายขายชาติ และเป็นช่วงที่ผมได้นำมาเขียนบทความมากที่สุด

            ผมอยากจะนำสุนทรพจน์ ที่ผมได้บรรยายให้กับบัณฑิตที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ในโอกาสที่ผมได้รับปริญญานิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตเมื่อปี 2562 โดยได้ปรับปรุงแก้ไขสูตรสำเร็จ 10 ประการ ของบัณฑิตที่กฎหมายที่ประสบความสำเร็จ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านได้บ้างครับ

            ในโอกาสที่ผมจะกล่าวสุนทรพจน์แก่บัณฑิตในวันนี้นั้น ทำให้ผมนึกถึงประสบการณ์ของการกล่าวสุนทรพจน์ของมหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีประเพณีในการเชิญผู้ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ หรือบุคคลที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของแต่ละอาชีพ ที่เคยผ่านทั้งช่วงเวลาแห่งความล้มเหลว ผิดหวัง พลาดพลั้ง และเป็นบุคคลที่สามารถต่อสู้ อดทน จนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เพื่อให้บัณฑิตได้มาเป็นข้อคิดในการแนะแนว หรือสร้างแรงบันดาลใจให้กับบัณฑิต โดยอาจถือได้ว่าสุนทรพจน์จากผู้มีประสบการณ์เหล่านี้คือคำแนะนำที่ดีที่สุดก่อนจบการศึกษา

            ผมจำได้ว่า ผมได้เคยอ่านหนังสือแปลชื่อ "วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน" โดย คุณสฤณี อาชวานันทกุล มานานแล้ว พอทราบว่าจะต้องมีกล่าวสุนทรพจน์ในวันนี้ ผมจึงไปหาซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนับเป็นการพิมพ์ครั้งที่ 32 ของสำนักพิมพ์ Openbooks เป็นการอ่านอีกรอบ หนังสือเล่มนี้มีสุนทรพจน์จำนวน 22 เรื่อง โดยมีผู้กล่าวสุนทรพจน์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกไม่ว่าจะเป็น Steve Jobs ผู้คิดค้น Apple JK Rolings ผู้เขียนหนังสือ Harry Porter Bill Gates เจ้าของ Microsoft และบุคคลอื่นๆ อีก ผมเข้าใจว่าหนังสือเล่มนี้ไปเป็นของขวัญให้กับบัณฑิตในหลายมหาวิทยาลัยในวันรับปริญญา

            ผมไม่ทราบว่าในวันนี้บัณฑิตมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ท่านใดที่ได้รับหนังสือเล่มนี้เป็นของขวัญบ้าง หากท่านไม่ได้รับ ผมก็อยากแนะนำให้ท่านไปอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยครับ

            สิ่งที่สรุปได้จากหนังสือเล่มนี้คือผู้กล่าวสุนทรพจน์มักจะกล่าวถึงการเรียนรู้ ชีวิตและตัวตน จิตสำนึก และความสำเร็จในหลายบท โดยมักจะพูดถึงเรื่องความสุข การให้ และการคิดถึงส่วนรวมด้วย สุนทรพจน์ของผมในวันนี้คงจะไม่ดีเท่ายอดเยี่ยมเท่ากับสุนทรพจน์ของผู้กล่าวในหนังสือ วิชาสุดท้ายที่ไม่ได้สอนในมหาวิทยาลัย

            หลายท่านอาจกล่าวว่า ผมสามารถประสบความสำเร็จสูงสุดในวิชาชีพและวิชาการ จากเด็กบ้านนอกในอำเภอเบตง ก้าวเข้ามาเป็นประธานกรรมการบริษัทกฎหมายที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ได้รับการโปรดเกล้าฯทางวิชาการให้เป็นศาสตราจารย์พิเศษของคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในคณะทำงานเพื่อส่วนรวมในภาคราชการและเอกชนอย่างต่อเนื่องหลายตำแหน่ง แต่ความจริงแล้ว ความสำเร็จหรือตำแหน่งเหล่านี้ ไม่ควรจะเป็นเครื่องวัดความสำเร็จเพราะตำแหน่งเหล่านี้ก็เปรียบเหมือนหัวโขน ไม่จิรังยั่งยืน เป็นโลกธรรม ดังคำที่ว่า "มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา" ส่วนที่น่าจะเป็นเครื่องวัดความสำเร็จคือ ผมได้ทำอะไรให้กับส่วนรวมบ้าง

สูตรสำเร็จ 10 ประการของการจะเป็นบัณฑิตที่ประสบความสำเร็จ

            ผมจะให้เป็นสูตรสำเร็จ 10 ข้อ จากประสบการณ์ของผมเองเพื่อที่ท่านที่เป็นบัณฑิตจะได้นำไปครุ่นคิด วางแผน หรือเป็นแรงบันดาลใจในการที่จะดำเนินชีวิตให้อยู่รอด แข็งแรง มั่นคง และประสบความสำเร็จโดยเป็น 10 สูตรความสำเร็จของการเป็นบัณฑิตที่สมบูรณ์ (เพราะผมได้เขียนหนังสือ สูตรสำเร็จธุรกิจครอบครัวไทย)

            1.ให้เป็นผู้ใฝ่รู้ด้วยการอ่านศึกษาค้นคว้าหาความรู้ในทุกแขนงที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและวิชาการใหม่ๆ เพื่อเป็นการพัฒนาตนเองตลอดเวลา

            การอ่านจะทำให้เรามีความรู้และยังสามารถสร้างแรงบันดาลใจ ผมขอแนะนำให้บัณฑิตได้อ่านหนังสือ "ปัญญาวิชาชีวิต" หรือ "How will you measure your life?" โดย Clayton M. Christensen เรียบเรียงโดย คุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา หนังสือเล่มนี้ได้ช่วยเปลี่ยนแนวคิดของบุคคลที่ผมรู้จักจากการแนะนำให้อ่านหนังสือเล่มนี้หลายคน

นี่คือข้อความบางตอนของหนังสือเล่มนี้

            "การไม่ใส่ใจ ไม่ปรับปรุง ไม่เปลี่ยนแปลง ประมาทและปรามาสผู้เล่นรายใหม่ จึงเป็นหนทางสู่ความวิบัติทั้งธุรกิจและชีวิต"

            "การหยุดตัวเองไว้ที่ความรู้เก่า ประสบการณ์เก่า โดยไม่แสวงหาความรู้ใหม่ ประสบการณ์ใหม่ เป็นหนทางอันเรียบง่าย ที่จะเดินเข้าสู่หายนะเบื้องหน้า"

            สำหรับผมเอง ผมเชื่อว่า การเป็นนักอ่านตั้งแต่เด็กๆ เป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้ผมได้ก้าวมายืนในวันนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นทนายความ ครูบาอาจารย์ และนักเขียน ผลงานเหล่านี้มาจากการเป็นนักอ่านหนังสือตั้งแต่เด็กๆ แม้ปัจจุบันผมยังคงเป็นนักอ่านและเรียนรู้ความเปลี่ยนแปลงใหม่ตลอดเวลา ผมคิดว่าบัณฑิตทุกท่านควรฝึกเป็นนักอ่าน ค้นคว้า โดยอาจใช้ Social Media เป็นเครื่องมือในการพัฒนาหาความรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต

            2.รู้ว่าวิธีแก้ไขปัญหาเมื่อเผชิญปัญหา ทุกคนในชีวิตต้องเจอกับปัญหา เมื่อมองเห็นปัญหา ก็ต้องหาวิธีในการแก้ไขปัญหาโดยการกำหนดเป้าหมาย หาวิธีแก้ไขไม่ว่าจะใช้ความรู้ หรือเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อเจอปัญหา เราควรจะหาว่า เราควรจะคิดอย่างไร (How to think) มากกว่าควรคิดอะไร (What to think) เพราะจะทำให้เราเข้าใจ เข้าถึง และหาวิธีที่จะแก้ไขปัญหา จะทำให้ตัดสินใจได้ถูกต้อง เนื่องจากในชีวิตของนักกฎหมาย ผมต้องแก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลา การมีความรู้จะทำให้เรารู้ว่า เราควรจะคิดอย่างไรเพื่อแก้ไขปัญหาที่เราต้องเจอและหากใช้วิธีการคิดอย่างไร เราก็จะหาทางออกและทางเลือกที่ดีของปัญหาได้เสมอ

            3.ต้องมีความรักในหน้าที่การงานที่ทำ หรือ Passion ที่ตนเองทำงาน โดยทำงานได้รับมอบหมายอย่างเต็มสติกำลัง และทำงานทุกอย่างในปัจจุบันให้ดีที่สุด ความสำเร็จที่สำคัญของผม ผมเชื่อว่าเกิดจากข้อนี้จริงๆ เพราะเมื่อผมได้เรียนกฎหมาย และทำงานเป็นนักกฎหมาย ผมรู้ทันทีว่า นี่คือสิ่งที่ผมชอบและรักที่สุด ดังนั้น จงรีบค้นหาตัวตนและความรักในการเรียนและงานที่ทำให้พบโดยเร็ว

            ผมขอยกคำกล่าวของ Steve Jobs (จากหนังสือปัญญาวิชาชีวิต) ว่า

            "หนทางหนึ่งเดียวสู่ความสุขใจจริง คือได้ทำในสิ่งที่เราเชื่อว่ายิ่งใหญ่

            หนทางหนึ่งเดียวสู่การสร้างงานยิ่งใหญ่ คือความรักปักใจในงานนั้น

            ถ้ายังไม่พบ จงค้นต่อไป จงอย่าถอดใจ

            คุณจะรู้ได้หมดจิตหมดใจ เมื่อคุณได้ค้นพบมัน"

            ความยากคือทุกคนในชีวิตไม่สามารถเรียนและทำงานในสิ่งที่ชอบได้ทุกคน ดังนั้น ท่านอาจต้องใช้เวลาค้นหาตัวตน หากมีงานที่ไม่ชอบ ต้องทำให้ชอบให้ได้ถ้ามุ่งหวังความสำเร็จ

            4.หากประสบความผิดหวังในเรื่องใดๆ ก็อย่าได้ท้อถอยหรือยอมแพ้อย่างง่ายดาย ท่านต้องมีความอดทน และแก้ไข อย่างมีสติ

            ผมเคยผิดหวังมากมายในการสอบ การทำงาน ผมอาจท้อแท้บ้าง แต่ไม่เคยท้อถอย ทุกคนในโลกนี้ต้องประสบความผิดหวังหรือความทุกข์ แต่ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งในการเผชิญกับความผิดหวังและแก้ไข        

            Winston Churchill ได้กล่าวไว้กับนักเรียน Harrow ว่า

            "จงอย่ายอมแพ้ อย่ายอมแพ้

            อย่ายอม อย่ายอม

            ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสำคัญหรือเรื่องเล็กน้อย

            เรื่องใหญ่หรือเรื่องขี้ผง

            อย่ายอมแพ้

            ยกเว้นต่อสำนึกในศักดิ์ศรี

            และความรู้สึกผิดชอบชั่วดี"

            การปฏิบัติธรรมและการศึกษาธรรมที่ผ่านมาของผม เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยทำให้ผมเผชิญกับความผิดหวังได้ค่อนข้างดี

            5.การวัดความสำเร็จของชีวิต ไม่ใช่วัดจากความร่ำรวย อำนาจ ฐานะทางสังคม แต่ควรวัดความสำเร็จของชีวิตจากการที่ว่า เรามี

              1. ชีวิตมีโอกาสที่จะได้เรียนรู้ ศึกษา

2. มีความรับผิดชอบ

3. ทำงานเพื่อส่วนรวม

4. และงานเพื่อส่วนรวม นั่นเป็นที่ยอมรับของบุคคลทั่วไป

            ความสำเร็จของผมมาพร้อมกับการเตรียมตัว ความพร้อมในความรู้และโอกาส ผมได้รับโอกาสที่ดีที่สุดตอนที่เกิดวิกฤติ 2540 ที่ได้เตรียมศึกษาเรื่องกฎหมายการปรับโครงสร้าง เมื่อโอกาสและจังหวะมาถึง เพราะมีประสบการณ์ที่เหมาะสม ความสำเร็จจึงตามมา ผมคิดว่าบทบาทหน้าที่ของผมครบถ้วน 4 อย่าง โดยเฉพาะการทำงานในฐานะครูบาอาจารย์ และบทบาทใน บริษัท ชีวามิตรวิสาหกิจเพื่อสังคม ที่ทำเรื่องการจากไปอย่างมีคุณภาพ

            ในตอนหน้าผมจะนำสูตรสำเร็จที่เหลืออีก 5 ข้อมาให้อ่านกันต่อนะครับ

เกี่ยวกับนักเขียน

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ อดีตประธานกรรมการ บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด กูรูด้านภาษี และกฎหมายภาษี มีผลงานการออกหนังสือ พ๊อกเก็ตบุ๊คเกี่ยวกับภาษีต่างๆ การควบรวมกิจการ อาทิ 10 ข้อคิด รู้ภาษี ลดภาษี / 10 ข้อคิด ลดภาษีคนทำงานและนักลงทุน โดยวารสารการเงินธนาคาร และอีกหลากหลายทั้งเรื่องภาษีมรดก ภาษีที่ดิน การควบรวมกิจการ โอกาสของธุรกิจไทย เป็นต้น

อ่านบทความทั้งหมดของนักเขียน