THE GURU • INVESTMENT

ส่องเศรษฐกิจอันเรืองรอง คว้าโอกาสทองลงทุนหุ้นเวียดนาม

บทความโดย: ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์

สัญญาณเศรษฐกิจโลกที่เข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะ เศรษฐกิจแถบโซนตะวันตก หลังจากธนาคารหลาย ๆ ประเทศ เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างเข้มข้น เพื่อควบคุมระดับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นปัจจัยหลักที่สร้างความผันผวนต่อ การลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะตลาดหุ้นที่ในรอบปีนี้อยู่ในขาลงมากกว่าขึ้นเสียอีก นักลงทุนส่วนใหญ่เพลียใจกันเป็นแถว

แต่หากมองวิกฤตเป็นโอกาสลงทุน ผมว่าก็ยังมีประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตสูงและ เป็นดาวเด่นของโลกในเวลานี้ด้วย นั่นคือ ตลาดหุ้นเวียดนาม ที่สุดแห่งโอกาสลงทุนหุ้น ดีราคาถูกในปีนี้อย่างมาก ๆ หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากการจับคดีปั่นหุ้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นดิ่งลงอย่างแรง

คุณคงแปลกใจว่า แล้วทำไมตอนนี้ยังมีคนมาเชียร์ให้ไปลงทุนตลาดหุ้นเวียดนามกัน คนแห่ลงทุนเพราะตามกระแส หรือเวียดนามมีอะไรดีและน่าสนใจกว่าตลาดหุ้นอื่น เศรษฐกิจเวียดนามจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกถดถอยมากน้อยแค่ไหนที่สำคัญ

ชีพจรเศรษฐกิจแรงไม่หยุด ฉุดไม่อยู่จริงๆ

ผมขอสแกนชีพจรเศรษฐกิจเวียดนามในมิติต่าง ๆ ให้คุณได้เห็นว่า ทำไม ‘ตลาดหุ้นเวียดนาม’ ถึงน่าลงทุน

ด้านพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา ธนาคารโลก เพิ่งปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ของเวียดนามในปี 2565 จาก 5.3% เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เป็น 7.5% หลังจากไตรมาสแรกเศรษฐกิจขยายตัว 5.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสที่สอง เติบโต 7.7% ทำสถิติการเติบโตสูงที่ สุดในรอบ 11 ปี โดยมีตัวขับเคลื่อนหลักมาจากภาคอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัว จากโควิด-19

จากตัวเลข 2 ไตรมาสดังกล่าว ทำให้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้ว เศรษฐกิจเวียดนาม ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ขยายตัวกว่า 6.42% และเป็นสถิติการเติบโตที่สูงสุดในรอบ 3 ปี สะท้อนการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งที่มาจากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ และการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยรายได้ของธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจบริการเพิ่มขึ้นกว่า 12% ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมอยู่ที่ 602,000 คน

ด้านมูลค่าการส่งออกพุ่งแรงกว่า 17.3% คิดเป็นมูลค่า 186,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้น 15.5% อยู่ที่ 185,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เวียดนามมีสถานะ เกินดุลการค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ด้านอัตราเงินเฟ้อของเวียดนาม ถูกคาดการณ์อยู่ที่ 3.8% เท่านั้น ถือว่าต่ำกว่าหลายประเทศ ในยุโรปและสหรัฐฯ ในยามนี้อย่างมาก แสดงให้เห็นถึงเศรษฐกิจเวียดนาม จะเติบโตได้อย่าง ต่อเนื่อง โดยที่ยังไม่มีแรงกดดันเรื่องการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตามเทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้น ของโลก

เนื้อหอม! ดึงดูดต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาลงทุนไม่ขาดสาย

ขณะที่รัฐบาล มีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเร่งให้ GDP ขยายตัวในปีนี้ด้วยงบประมาณกว่า 15,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นมูลค่ากว่า 4% ของ GDP เวียดนาม รวมถึงมีการลงทุนใน โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ รวมทั้งยังประกาศนโยบาย Boi Moi ผลักดันประเทศสู่ฐานการผลิต สินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงของโลก

แม้ในสภาวการณ์ที่เศรษฐกิจโลกผันผวนหนัก ในปีนี้เวียดนามก็ยังสามารถดึงดูดแหล่ง เงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ไหลเข้ามาไม่ขาดสาย เนื่องจากสามารถปรับปรุงสถานะ ในห่วงโซ่อุปทานได้เป็นอย่างดี ซึ่งที่ผ่านมามีบริษัทต่างชาติจากทั่วโลกกว่า 100 แห่งเข้ามาลงทุน และล่าสุด ค่าย Apple ก็ได้ย้ายฐานการผลิตอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ซัพพลายเออร์รายใหญ่ของ Apple อย่าง Luxshare Precision Industry และ Foxconn ได้เริ่มเดินสายการผลิต Apple Watch และ Macbook ในพื้นที่เขตอุตสาหกรรมทาง ตอนเหนือของเวียดนามแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ บริษัทซัพพลายเออร์ของ Apple บางส่วนได้ย้ายฐานการผลิต iPad มาเวียดนามแล้วเช่นกัน โดยบริษัทที่ย้ายฐานการผลิตต้องการ ที่จะลดความเสี่ยงจากการใช้นโยบายที่เข้มงวดของทางการจีน ประกอบกับค่าแรงที่ต่ำของ เวียดนาม ช่วยประหยัดต้นทุนให้กับ Apple ได้ดี

ทั้งนี้ในปี 2564 มูลค่าเงินลงทุนจากต่างประเทศของเวียดนามสูงเป็นอันดับที่ 1 ของภูมิภาค อาเซียนที่ 5.1% ของ GDP เพราะรัฐบาลมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ประชากรส่วนใหญ่ ยังอยู่ในวัยแรงงานทำให้ค่าแรงไม่สูงมาก และตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา เงินลงทุนจากต่าง ประเทศของเวียดนามคิดเป็นสัดส่วน 6.4% ของ GDP ซึ่งสูงกว่าไทยถึง 3 เท่าในช่วงเวลาเดียว กัน โดยบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาก่อนหน้านี้ ได้แก่ LG Electronics Panasonic Samsung เป็นต้น

นอกจากนี้ ทางการเวียดนามก็พยายามเชื่อมต่อกับประชาคมโลกเพื่อผลักดันเศรษฐกิจ โดยไม่สร้างความขัดแย้งหรือเอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทำให้สามารถเข้าร่วมได้กับ ทุกกลุ่มเศรษฐกิจ รวมไปถึงความกระตือรือร้นของผู้นำประเทศที่พยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ ดีกับประเทศต่างๆ อีกด้วย จึงยิ่งทำให้เวียดนามเป็นประเทศเนื้อหอมดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ

ธนาคารโลกยังระบุว่า เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจกลับมาเติบโต อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง เหมือนช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 แม้ว่าในปีนี้จะเผชิญ กับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อยู่เช่นเดิม ซึ่งทำให้ภาคครัวเรือนมีรายได้ลดลง 45% และภาคธุรกิจขาดแคลนแรงงานในภาคบริการและภาคการผลิต และความเสี่ยง จากเศรษฐกิจโลกถดถอย เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มชะลอตัวและราคาสินค้า โภคภัณฑ์ที่อาจเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต แต่ก็ยังสามารถขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ในระดับสูง

ผมมั่นใจว่า เศรษฐกิจเวียดนามแรงไม่หยุด ฉุดไม่อยู่จริงๆ เพราะบทบาทเวียดนามกำลังก้าว ขึ้นแท่นเป็น ‘โรงงานโลก’ แห่งใหม่ ที่สามารถยกระดับการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม และยังมีอีกหลายๆ บริษัทข้ามชาติที่พาเหรดเข้ามาสร้างฐานการผลิตด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ในเวียดนาม จึงมีโอกาสที่จะเห็น GDP เวียดนามขยายตัวระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ในอดีต เศรษฐกิจเวียดนามสามารถขยายตัวสม่ำเสมอระดับ 6-7% ตลอดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

ขณะที่ประชากรในเวียดนามเกือบ 100 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาว ข้อมูลจากเว็ปไซต์ Population Pyramid ระบุว่าจำนวนประชากรที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปีมีมากถึง 90% ของประชากร  ทั้งหมด เป็นวัยแรงงานที่มีอำนาจซื้อสูง ขณะที่จำนวนประชากรที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีก็มีถึง 37% ซึ่งจะกลายเป็นขุมกำลังทางเศรษฐกิจของเวียดนามในอนาคต

และนี่คือ ก้าวที่ยิ่งใหญ่ของถนนสายเศรษฐกิจในเวียดนามระยะยาว ถ้าหากคุณมองว่า ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจเวียดนาม กำลังจะมีอนาคตเติบโตไปได้สวยขนาดนี้ คุณคิดว่า ควรพร้อมเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามได้แล้วหรือยัง

ถึงเวลาลงทุนตลาดหุ้นเวียดนามแล้วหรือยัง?

ก่อนอื่น ต้องยอมรับว่า ปี 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามร่วงลงแรง ราวกับหนังคนละม้วนจากปี 2564 ที่ถือเป็นปีทองที่ตลาดหุ้นพุ่งทะยานตลอดทั้งปี และยังทำ New High ได้ถึง 4 ครั้งในรอบ 1 ปี เรียกได้ว่า โดยเฉลี่ยแล้วดัชนี VNI ทำจุดสูงสุดใหม่ได้ทุกไตรมาสเลยทีเดียว

แต่อย่างที่รู้กันว่า โลกนี้ ‘อะไรก็เกิดขึ้นได้’ ในเมื่อมีขึ้นไปสูงสุดได้ ก็ย่อมมีลงได้

ต้นเหตุของตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวดิ่งลงอย่างรวดเร็วในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา เนื่องจาก หน่วยงานกำกับการดูแลตลาดหุ้นเวียดนาม State Securities Commission of Vietnam (SSC) ตรวจสอบพบการทุจริตของผู้บริหารระดับสูงของบริษัท FLC Group ที่อยู่ในตลาดหุ้น และได้ดำเนินคดีปั่นหุ้น ฉ้อโกง และไม่รายงานการซื้อขายหุ้นล่วงหน้า ตามกฎของ SSC ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปราบปรามทุจริตครั้งใหญ่รอบนี้ ตามมาด้วยคดีขายหุ้นกู้ผิดกฎหมาย ของผู้บริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อย่าง ‘Tan Hoang Minh Group’ และต่อด้วยการ ควบคุมตัวผู้บริหารระดับสูงอีกหลายคนของบริษัทขนาดใหญ่และรัฐวิสาหกิจในเวียดนามหลายแห่งที่กระทำผิด

แน่นอนว่า นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม จึงพากันเทขายหุ้นออกมา เพื่อถือเงินสดรอดูสถานการณ์ก่อน ซึ่งตลาดหุ้นเวียดนามมีสัดส่วนนักลงทุนรายย่อยสูงถึง 99% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด และส่วนใหญ่ใช้เงินกู้ยืมเพื่อซื้อหุ้น (Margin) ค่อนข้างสูง ส่งผลให้นักลงทุนรายย่อยกลุ่ม Margin ถูกบังคับขายเพื่อนำเงินมาเคลียร์หนี้ Margin ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นเวียดนามให้ดิ่งลงแรง นับตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2565 ที่ดัชนี VNI ทะยานไปแตะจุดสูงสุดที่ 1,524.70 จุด หลังจากนั้นดัชนีก็ร่วงลงมาอย่างรวดเร็วมากกว่า 350 จุด ในเวลาเพียง 1 เดือนเศษ โดย ณ วันที่ 16 พฤษภาคม 2565 ดัชนี VNI อยู่ที่ระดับ 1,171.95 จุด หรือตกลงมามากกว่า 23% ในระยะเวลาเพียง 43 วัน สังเวยการกวาดล้างนักปั่น หุ้นในตลาดเวียดนาม

ผลจากการปราบปรามการทุจริตในตลาดหุ้นเวียดนาม สะท้อนภาพเชิงบวก ต่อพัฒนาการด้านความโปร่งใสและเสถียรภาพให้แก่ตลาดหุ้นเวียดนามในระยะยาว และที่ สำคัญ คาดว่าจะช่วยยกระดับตลาดหุ้นเวียดนามได้รับการจัดอันดับของ MSCI จากปัจจุบันเป็น ตลาดหุ้นชายขอบ (Frontier Market) ไปสู่การเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) ภายใน ปี 2565-2567 ซึ่งจะสนับสนุนให้มีเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นเวียดนามเพิ่ม มากขึ้นในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเวียดนามยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบอื่นๆ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นทั่วโลก และการปรับอัตรา ดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลายๆ ประเทศ ทำให้เกิดภาวะเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้น เวียดนามในช่วงที่ผ่านมา แต่นั่นเป็นพียงปัจจัยชั่วคราวที่ไม่ได้กระทบต่อ พื้นฐานทางเศรษฐกิจของเวียดนาม เนื่องจากไตรมาส 2 GDP ยังเติบโตกว่า 7% ทำสถิติสูงสุดด้วย และหากย้อนไปตั้งแต่ที่โควิด-19 เริ่มระบาดในช่วงต้นปี 2563 ดัชนี VNI ก็เป็นขาขึ้นมาตลอดและทำ New High ตลอดปี 2564

ปัจจุบัน ดัชนี VNI ปรับตัวขึ้นมาปิดตลาดที่ระดับ 1,249.62 จุด เมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา ฟื้นตัวขึ้นมา  8.70% จากระดับต่ำสุดของปีที่ 1,149.61 จุดเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมา ในขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมยังเติบโตได้ดี ขณะที่ราคาหุ้นยังอยู่ ระดับต่ำ ทำให้มีหุ้นคุณภาพดีราคาถูกให้เลือกลงทุนไม่น้อย

สำหรับผลตอบแทนของหุ้นเวียดนาม หากดูข้อมูลการลงทุนผ่าน Jitta Ranking หุ้นเวียดนาม จะพบว่า สามารถทำผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 31.92% (ผมแอบบอกข่าวดีนิดนึงคือล่าสุด เราได้ปรับลดวงเงินลงทุนขั้นต่ำมาเริ่มที่ 500,000 บาทแล้วนะครับ)  หรือหากอยากรู้ว่า หุ้นเวียดนามตัวไหนที่ให้ผลตอบแทนดี หรือเฟ้นหาหุ้นดีราคาถูก ก็สามารถเข้าไปดูข้อมูลฟรี ได้ที่ Jitta.com เลยครับ นอกจากนี้ ยังมี Thematic ตลาดหุ้นเวียดนาม ที่น่าสนใจอีกธีมสำหรับการ ลงทุนระยะยาวในตอนนี้ เนื่องจากราคาปรับตัวลงมาถูกมาก โดย Thematic ตลาดหุ้นเวียดนาม ใน Jitta Wealth พบว่าผลตอบแทน 3 เดือนย้อนหลัง ติดลบ 3.19% ขณะที่คนลงทุนระยะยาว 5 ปี ผลตอบแทนย้อนหลังเป็นบวก 6.07% (13 กันยายน 2565)

หากคุณมีความต้องการจะลงทุนในหุ้นที่คุณภาพดีราคาถูก ประเทศที่มีศักยภาพการเติบโต ทางเศรษฐกิจสูง ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามที่ถือเป็นอีก ตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะไม่ว่าตลาดหุ้นจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง ก็ล้วนเป็นโอกาสในการลงทุน เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้แก่พอร์ตของคุณ

เกี่ยวกับนักเขียน

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด นักลงทุนแนวเน้นคุณค่า และผู้ก่อตั้งสตาร์ตอัป Wealth Tech สัญชาติไทย เป็นรายแรกที่ได้รับอนุญาตบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคล จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

อ่านบทความทั้งหมดของนักเขียน