13 มีนาคม คือจุดต่ำสุดของ SET รอบนี้เเล้วหรือยัง (1)
หลายคนรอของถูกอีกรอบเพราะรอบที่เเล้วพลาดไป
หลายคนยังไม่กล้าทำอะไรกับความผันผวนที่คาดการณ์ไม่ได้ เเละยังมีอีกหลายคนที่ยังคงรอคอยอยู่ที่ดอยลูกเดิมรอวันรถกลับขึ้นมารับอีกที
ว่าด้วยการพยากรณ์ทิศทางตลาด
ผมเองก็ไม่ใช่คนที่คาดการณ์ได้เเม่นยำนัก หรือเเม้เเต่ไปถามกูรูสายเทคนิค
ใช้การนับคลื่นอีเลียตเวฟเข้าช่วยก็ยังมีความเป็นไปได้หลากหลาย Scenario
ผมเลยอยากให้พวกเราลองกลับมาเรียบเรียงเหตุการณ์กันอีกทีว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันเเน่
เเละอยากจะสรุปเบื้องต้นง่ายๆ เเค่สองเหตุการณ์เพื่อความเข้าใจในภาพกว้าง
อันดับเเรกคือ
ปัญหาที่เกิดขึ้นจนทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเทกระจาดลงมา 30-40%
ภายในหนึ่งเดือน เกิดจากการตึงตัวของดอลลาร์ หรือเราจะเจอในข่าวว่าเป็นปัญหา
Liquidity Crisis
Liquidity
Crisis คือปัญหาที่เศรษฐกิจโลกกำลังขาดเงินดอลลาร์ในการหมุนเวียนในระบบเเบบเฉียบพลัน
โดยมีสัญญาณการตึงตัวของระบบธนาคารมาก่อนเเล้วช่วงเดือนกันยาปี 2019 กับเหตุการณ์ Repo Rate Spike หรือต้นทุนการกู้ยืมเงินกันข้ามคืนระหว่างธนาคารพุ่งสูงขึ้นเกือบ
10%
จากเดิมที่ตลาดส่งสัญญานสภาพคล่องตึงๆ อยู่เเล้วมาเจอ Covid-19 เป็นตัวเร่ง เพราะหลายธุรกิจต้องปิดตัวเนื่องจากขาดกระเเสเงินสดเข้ามาเเต่ยังมีหนี้ที่ต้องชำระ ซึ่งเป็นสภาวการณ์ที่บีบให้ต้องขายสินทรัพย์ทุกอย่างเพื่อเอาเงินสดเข้ามาไว้ในมือก่อน ทั้งในการประคองรักษาธุรกิจเเละเก็บไว้ใช้หนี้บางส่วน
เเละเนื่องจากเกือบ 90% ของการค้าทั่วโลกทำกันบนสกุลเงินดอลลาร์เเละการกู้ยืมเงินส่วนใหญ่ก็ทำในรูปเเบบดอลลาร์ เลยยิ่งทำให้สภาพคล่องของดอลลาร์ในตลาดตึงตัวถึงขีดสุด จนเกิดเหตุการณ์ Sell everything and Run ขายทั้งหุ้น พันธบัตร เเละทองคำเพื่อเอาดอลลาร์เก็บไว้ที่ตัวให้มากที่สุด
เเละนี่คือการฉายภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ในบทความครั้งหน้า ผมจะมาเล่าถึงวิธีการเเก้ปัญหาเเละปัญหาที่ยังคงค้างคาอยู่ เพราะไม่จบเเค่ Liquidity เเต่ปัญหาใหญ่กว่านั้นคือ Solvency หรือความสามารถในการชำระหนี้
ซึ่งถ้าเราสามารถเเก้กันทัน เเละเห็นสัญญานทางเศรษฐกิจที่ดี ทำให้เราอาจมั่นใจได้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกทำ Bottom ไปเเล้วเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ไว้ติดตามต่อคราวหน้าครับ