IPO คืออะไร? เรื่องที่นักลงทุนต้องรู้ก่อนซื้อหุ้น!
ในช่วงนี้การ IPO ของบริษัทต่าง ๆ เกิดขึ้นมามากมายไปหมด
เรามาสำรวจกันว่าคำว่า IPO
คืออะไร?
IPO หรือที่เรียกกันแบบเต็ม
ๆ ว่า Initial Public
Offering คือ
การเสนอขายหุ้นครั้งแรกของบริษัทให้กับสาธารณะชนคนบ้าน ๆ อย่างเรา ๆ
หรือที่เรียกกันเท่ ๆ ว่า “นักลงทุน” ซึ่งจะทำให้บริษัท
เปลี่ยนสถานะจากบริษัทเอกชน (Private
Company) เป็นบริษัทมหาชน (Public Company) สำหรับพวกเราทุกคน
ให้เราทุกคนได้ลงทุน
กระบวนการดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อบริษัทได้เติบโตจนถึงจุดหนึ่ง และผ่านกฎเกณฑ์เงื่อนไขของ กลต. เป็นที่เรียบร้อย โดยบริษัทจะต้องมีมูลค่าราว ๆ 1 พันล้านเหรียญ หรือ คิดเป็นเงินไทยราว ๆ 3 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งจะกลายเป็นบริษัท “ยูนิคอร์น” อย่างที่เราคุ้นหูกันนั่นเอง
IPO แล้วใครได้ประโยชน์?
1. บริษัท
หลังการ IPO บริษัทก็จะได้เงินทุนจากนักลงทุนไปสร้างสรรค์สิ่งต่าง
ๆ ตามเจตจำนงของผู้บริหาร เช่น ขยายธุรกิจเพิ่มเติมให้เติบโตยิ่งขึ้น
นอกจากนั้นอีกหนึ่งประโยชน์ที่น่าสนใจของบริษัทก็คือ
เงินของนักลงทุนนั้นไม่เหมือนกับการกู้ยืมที่ต้องหาเงินมาใช้ให้ได้
โดยเงินของนักลงทุน เป็นเงินที่หากเกิดการสูญเสียทางบริษัทจะไม่ต้องรับผิดชอบ
หุ้นที่ถืออยู่จะหมดคุณค่า และการจ่ายปันผลจะจบลง
2. ผู้ถือหุ้น
และ นักลงทุน
นั้นการที่บริษัทเปลี่ยนสถานะจาก บริษัทเอกชน
มาเป็น บริษัทมหาชน ยังเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ นักลงทุนบุคคล (Private Investors) หรือที่เรียกกันว่า
“วงใน” (ครอบครัว
เพื่อน ๆ หรือ Angel
Investors) ได้ผลตอบแทนจากการลงทุน
ที่คิดจากส่วนแบ่งหุ้นภายใน ได้อีกด้วย
นอกจากนั้นยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนภายนอกอย่างเรา ๆ เข้าลงทุนกับบริษัทที่เราคิดว่ามีศักยภาพดี พร้อมเติบโตในอนาคต สร้างผลกำไรและเงินปันผลให้กับเรา อีกทั้งการ IPO ยังช่วยเพิ่มความโปร่งใส และความน่าเชื่อถือให้กับบริษัท เนื่องจากบริษัทจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณ์ต่าง ๆ เช่น การตรวจสอบบัญชี เป็นต้น
IPO แล้วเงินไปไหน?
เงินทุนที่บริษัทได้จากการ IPO บริษัท ของนักลงทุน จะนำไปลงบันทึกในส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) ซึ่งก็จะแบ่งออกเป็นสองส่วน ก็คือ หุ้นสามัญ (Common Stock) และ หุ้นบุริมสุทธิ (Preferred Stock)
จากภาพเราก็จะเห็นได้ว่าหุ้นที่ทางบริษัทเสนอเพิ่มทุนทั้งหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสุทธิ จะถูกนำมาบันทึกอยู่ในส่วนของผู้ถือหุ้น ส่วนของแตกต่างระหว่างหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสุทธิก็คือ ผู้ถือหุ้นสามัญจะมีสิทธิออกเสียงให้กับบริษัทได้ ในขณะที่หุ้นบุริมสุทธิผู้ถือหุ้นจะไม่มีสิทธิออกเสียง แต่จะได้สิทธิพิเศษก็คือ การได้รับปันผลก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ และในกรณีที่บริษัทล้มละลาย ผู้ถือหุ้นบุริมสุทธิจะได้สิทธิในการเรียกร้องก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ
ถ้าเราซื้อหุ้นหลังการ IPO ไปแล้ว
บริษัทจะได้ทุนเพิ่มอยู่หรือไม่?
ก่อนอื่นก็คงต้องแบ่งรูปแบบออกเป็นสองส่วนก่อน
เวลาเราซื้อหุ้นจะมีการซื้อขายหลัก ๆ ในสองตลาด ก็คือ ตลาดหลัก (Primary
Market) และ ตลาดรอง (Secondary Market)
1. ตลาดหลัก (Primary Market) คือ การซื้อขายก่อนหุ้นจะเข้าตลาดเป็นราคา IPO ซึ่งเงินในส่วนนี้จะนำไปเพิ่มทุนให้กับบริษัท
2. ตลาดรอง (Secondary Market) คือ
การซื้อขายที่เกิดขึ้นหลังหุ้นไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งการซื้อขายในส่วนนี้จะเป็นเพียงการเปลี่ยนมือกันเฉย ๆ
ซึ่งอาจเป็นการรับไม้ต่อจากคนที่ไปซื้อ IPO หรือ
คนที่ซื้อต่อ ๆ จากนั้น
ตัวอย่างง่าย ๆ ก็เช่น เวลาเราไปซื้อหุ้น A ในตลาดทันที ช่วงที่ไม่มีการเพิ่มทุน หรือ ไปซื้อหุ้นตอนตกหนัก ๆ มีแต่คนขาย แล้วเราไปเหมากระจาดมา
อยากได้หุ้น IPO ต้องทำอย่างไร?
หากต้องการหุ้น IPO ก่อนเข้าตลาด
บริษัทจะประกาศให้เราสามารถจองซื้อได้ในจำนวนที่จำกัด
และเราสามารถซื้อหุ้นดังกล่าวได้ผ่านโบรคเกอร์ต่าง ๆ
ตัวอย่างหุ้น IPO ในช่วงนี้ ก็มีให้เราเห็นมากมาย เช่น OR, KEX หรือ TIDLOR ซึ่งเป็นหุ้นที่เราคุ้นหูกันอยู่แล้ว ค้นหาข้อมูลหุ้นไทยรายตัวได้เลยที่นี่ https://www.finnomena.com/stock/setindex
ซื้อราคา IPO ได้เปรียบจริงหรือไม่?
หุ้น IPO ถือเป็นความฝันของนักลงทุนหลาย ๆ ท่าน ซึ่งอาจมาจากความเชื่อที่ว่า หากเราได้ราคา IPO วงใน ตอนเปิดตัวให้ซื้อขายในตลาด ราคาจะดีดขึ้นและเราสามารถขายทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำซึ่งวลีที่ว่าก็ถือว่าเป็นจริงในระดับหนึ่งเพราะจากสถิติในช่วงปี 2556-2560 หุ้นที่เข้าไอพีโอและซื้อขายในวันแรกจะมีโอกาสที่ราคาจะยืนอยู่เหนือระดับราคาจองถึง 80% และให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่าราคาจองที่ 39% ซึ่งอาจมีผลมาจากแรงเก็งกำไรต่าง ๆ จนทำให้ราคาเกิดความผันผวน แต่ถึงอย่างนั้นหากเรามาเทียบกับข้อมูลในช่วงปี 2000-2012 เราก็จะเห็นได้ว่า หุ้น IPO ในระยะยาวออกไปอีกนิด ผลตอบแทนที่ได้ก็จะเริ่มลดลง
ภาพแสดงผลตอบแทนเฉลี่ยของหุ้น IPO ทั้งหมด 310 บริษัท ในช่วงปี 2000-2012
จากภาพจะเห็นได้ว่าในช่วงวันแรกส่วนใหญ่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ ก่อนจะลดหลั่นลงไป ที่มา: researchgate.net
ภาพแสดงผลตอบแทนหุ้น IPO ในวันแรก
เมื่อปี 2020
จะสังเกตได้ว่ามีทั้งหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกและเป็นลบในวันแรก ที่มา: marker.medium.com
ดังนั้น กลยุทธ์ดังกล่าวมีโอกาสที่จะล้มเหลวได้เช่นเดียวกัน
ทั้งนี้และทั้งนั้นคงขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของนักลงทุนแต่ละท่าน
ราคาหุ้นลงต่ำกว่าราคา IPO ได้หรือไม่?
คำตอบก็คือ ได้ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ในระยะสั้นราคาหุ้นอาจลงมาต่ำกว่าราคาจองภายในวันแรกได้ ส่วนในระยะยาวก็เช่นเดียวกัน
ถ้าบริษัทจะ IPO ต้องเตรียมอะไรบ้าง?
ขั้นตอนที่ 1 : จัดหา
ผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ (Underwriter) หรือ วาณิชธนากร (Investment
Bank)
หากบริษัทต้องการ IPO จะต้องหา
ผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ หรือ วาณิชธนากร มาเป็นคนกลางดำเนินการซื้อขายระหว่างนักลงทุนและบริษัท
ซึ่งจะมีการเซ็นสัญญาและมีรายละเอียดหลัก ๆ เช่น รายละเอียดของสัญญา
จำนวนเงินที่ต้องการเพิ่มทุน และ หลักทรัพย์ที่ใช้ในการเพิ่มทุน
ขั้นตอนที่ 2 : ลงทะเบียนสำหรับการ
IPO
ในขั้นตอนนี้จะต้องมีการเตรียมเอกสารข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์
และหนังสือชี้ชวน ซึ่งจะต้องมีการรายงานในด้านต่าง ๆ เช่น
ความหมายของศัพท์เฉพาะในอุตสาหกรรม ความเสี่ยงต่าง ๆ จุดประสงค์ของการเพิ่มทุน
ภาพรวมอุตสาหกรรม รายละเอียดธุรกิจ ข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารจัดการ งบการเงิน และ
ข้อมูลทางกฎหมายอื่น ๆ
บริษัทจะต้องยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์กับสำนักงาน
ก.ล.ต. ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลหลักทรัพย์ โดยต้องยื่นเอกสารทั้ง 3
ส่วน ประกอบไปด้วย
- แบบแสดงรายการข้อมูล
- หนังสือชี้ชวน
ถ้าหากบริษัทผ่านเงื่อนไข ก็จะสามารถประกาศวันที่ทำการ IPO ได้ และไปลงทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ต่อไป
ขั้นตอนที่ 4 : ประกาศให้โลกรู้
ในขั้นตอนนี้ทางบริษัท จะทำการโฆษณาและป่าวประกาศเกี่ยวกับการ IPO ของบริษัท ซึ่งเป็นตัวอย่างที่น่าจะคุ้นหูกันในช่วงนี้อยู่แล้วผ่านช่องทางโซเชียลมิเดียต่าง ๆ ไปจนถึงป้ายบน BTS กันเลยทีเดียว
ขั้นตอนที่ 5 : ประเมินราคา
IPO
ขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นการประเมินราคา IPO ซึ่งทางบริษัทสามารถกำหนดได้ด้วยตนเอง หรือ จะเป็นการเสนอราคาโดยนักลงทุนก็ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งการกระทำดังกล่าว ก็จะมีกำหนดราคาเสนอเริ่มต้นและกรอบราคาให้นักลงทุนไปเสนอราคาซื้อกันต่อได้
ขั้นตอนที่ 6 : การจัดสรรแบ่งหุ้น
ในส่วนของขั้นตอนสุดท้าย เมื่อสรุปราคา IPO ได้เรียบร้อยแล้ว ทางบริษัทจะประสานกับผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์เกี่ยวกับจำนวนหุ้นที่จัดสรรให้กับนักลงทุนต่อไป
สำหรับวันนี้ขอปิดท้ายไว้แต่เพียงเท่านี้ละกันครับ
ขอให้ทุกคนโชคดีครับ
Mr. Serotonin