4 เสาของธรรมนูญครอบครัวที่ศักดิ์สิทธิ์
“ครอบครัวก็เปรียบดั่งชูชีพท่ามกลางทะเลชีวิตที่ปั่นป่วน”[1]
- J.K. Rowling
ทำยังไงให้ธรรมนูญครอบครัวศักดิ์สิทธิ์?
เป็นคำถามที่อยู่ในใจของหลายๆ คน เมื่อครอบครัวอุตส่าห์เสียเวลา
เสียเงินเสียทอง เสียพลังงานไปมากมายเพื่อให้ได้มาซึ่งธรรมนูญครอบครัวซักฉบับ
แต่ผลลัพธ์คือไม่มีใครใส่ใจ ไม่มีใครเอาไปปฏิบัติ จนทำให้ต้องกลับมาคิดว่าเราจะทำไปเพื่ออะไร?
บทความนี้จะมาแชร์ 4 วิธีที่จะทำให้ธรรมนูญครอบครัวของคุณมีความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นกว่าเดิม
เสาที่ 1 : ผูกกับกฎหมาย
“ธรรมนูญครอบครัว” ไม่ใช่กฎหมาย
ฟ้องร้องไม่ได้ แต่ทำให้มีผลทางกฎหมายได้
แม้ “ธรรมนูญครอบครัว”
อาจฟังดูคล้ายกับ “รัฐธรรมนูญ” ซึ่งทั้ง “ธรรมนูญครอบครัว” และ “รัฐธรรมนูญ” ต่างมีจุดเหมือนที่สำคัญคือการเป็น
“กติกาสูงสุด” ของสังคม โดยรัฐธรรมนูญเป็นกติกาสูงสุดของประเทศ
ในขณะที่ธรรมนูญครอบครัวเป็นกติกาสูงสุดของครอบครัว แต่อย่างไรก็ดี “ธรรมนูญครอบครัว” ไม่ใช่กฎหมาย จึงไม่อาจฟ้องร้องกันตามกฎหมายได้
พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าฝ่าฝืนหรือละเว้นที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงในธรรมนูญครอบครัว ก็ไม่อาจฟ้องร้องกันได้
ไม่เหมือนรัฐธรรมนูญที่สามารถฟ้องร้องกันได้ตามช่องทางต่างๆ ที่กฎหมายกำหนด
แต่ก็มีวิธีที่จะทำให้ “กติกา” ที่มีการตกลงไว้ในธรรมนูญครอบครัวมีผลทางกฎหมายได้ด้วยการ
“ผูก” กติกานั้นๆ เข้ากับกฎหมายบ้านเมืองที่เกี่ยวข้อง
เช่น หากมีข้อตกลงเรื่องการซื้อ-ขาย-โอนหุ้นระหว่างสมาชิกในธรรมนูญฯ
ก็ให้นำข้อตกลงนั้นๆ ไปเขียนไว้ใน “สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น”
ซึ่งจะทำให้เกิดการยึดโยงระหว่างข้อตกลงใน “ธรรมนูญครอบครัว”
กับ “กฎหมายบ้านเมือง” อย่างเป็นรูปธรรม
ซึ่งหากมีข้อขัดแย้งกันในอนาคต กฎหมายบ้านเมืองก็จะเข้ามาเป็นกลไกบังคับให้เป็นไปตามที่ตกลงกัน
นอกจาก “สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น” แล้ว ก็ยังมี “ข้อบังคับบริษัท” กฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดการนิติบุคคลรูปแบบต่างๆ (เช่น บริษัทจำกัด บริษัทโฮลดิง มูลนิธิ ฯลฯ) กฎหมายเกี่ยวกับ “พินัยกรรม” รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดการเงินกงสี (บัญชีครอบครัว กองทุนเพื่อการลงทุนร่วมกัน แฟมิลีออฟฟิศ เป็นต้น) หากเรายึดโยงข้อตกลงในธรรมนูญครอบครัวเข้ากับเครื่องมือทางกฎหมายเหล่านี้ได้แล้ว ธรรมนูญครอบครัวก็จะมีผลบังคับทางกฎหมาย (โดยอ้อม) ด้วย ดังนั้น ข้อตกลงในธรรมนูญครอบครัวที่ผูกกับกฎหมายบ้านเมืองแล้ว ก็จะกลายเป็นกติกาที่สมาชิกจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดตามที่กฎหมายกำหนด
เสาที่ 2 : กำหนดรางวัล
เพื่อให้เกิดการปฏิบัติตามธรรมนูญครอบครัวอย่างพร้อมเพรียง
อาจต้องมี “แรงจูงใจ” บางอย่าง
ข้อตกลงหลายๆ
อย่างในธรรมนูญครอบครัวนั้น ไม่สามารถก่อให้เกิดความผูกพันทางกฎหมายได้ เช่น
ข้อตกลงเรื่องการรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล (เช่น ทำเสียชื่อเสียง
ก็ไม่ได้ผิดกฎหมายซะหน่อย!) การปฏิบัติตามค่านิยมหรือธรรมเนียมปฏิบัติของครอบครัว
(ไม่สืบทอดกิจการ ก็ไม่ได้ติดคุก) การรักษากติกาและมารยาทในการประชุม (พูดคำหยาบ
ไม่เข้าประชุม ก็ฟ้องร้องกันไม่ได้) เป็นต้น
ในกรณีเช่นนี้ หลายๆ ครอบครัวจึงใช้วิธีกำหนดรางวัลเพื่อสร้างแรงจูงใจให้สมาชิกปฏิบัติตามข้อตกลงครอบครัวอย่างพร้อมเพรียง
เรียกว่าเป็นการให้ Incentive กับสมาชิกที่ปฏิบัติได้ตามที่ตกลงกันไว้
“รางวัล” หรือผลประโยชน์ที่ถูกนำมายึดโยงกับกติกาครอบครอบครัวก็เช่น
การให้สวัสดิการครอบครัว เงินให้ประจำเดือน เงินเดือนพิเศษ (เพิ่มจากเงินเดือนปกติที่ได้จากบริษัท)
โบนัสพิเศษ (เพิ่มเติมจากโบนัสที่ได้จากบริษัท) หรือแม้กระทั่งหุ้นของธุรกิจครอบครัว
เป็นต้น “ใครทำได้ก็มีรางวัลให้”
ถือเป็นกุศโลบายที่เชื้อเชิญให้สมาชิกปฏิบัติตามข้อตกลงในธรรมนูญอย่างนิ่มนวล
ไม่เป็นการบังคับ เช่น สวัสดิการรถคันแรกให้แก่สมาชิกทุกคนที่อายุถึงเกณฑ์และมีความประพฤติดี
แต่ถ้าทำตัวไม่ดีไม่เหมาะสม ก็จะอดได้รถ
หรือ
ทายาทคนใดที่เข้ามาช่วยกิจการของครอบครัวจะได้เงินพิเศษเพิ่มอีกเดือนละ 50,000
บาท (เพิ่มขึ้นจากเงินเดือนที่ได้รับอยู่แล้ว)
หรืออาจได้เป็นเงินก้อนจากคุณพ่อคุณแม่ทุกๆ 4-5 ปี
เพื่อตอบแทนความเสียสละที่กลับมาช่วยทำงานที่บ้าน เป็นต้น
เสาที่ 3 : ก่อเกิดสัญญาใจ
กติกาครอบครัวที่ดีที่สุดคือกติกาที่ไม่ได้ผูกพันด้วยกฎหมายหรือผลประโยชน์
แต่คือกติกาที่ผูกพันสมาชิกจนก่อให้เกิดเป็น “สัญญาใจ”
การทำตาม “สัญญาใจ”
นั้นจะทำให้ผู้ปฏิบัติรู้สึกดี รู้สึกเป็นสุขที่ได้ทำตามสิ่งที่ได้ตกลงกันไว้
และสบายใจที่ไม่ได้เป็นคนที่กลืนน้ำลายตัวเอง เป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ
เป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ เป็นทายาทที่น่าไว้ใจ
แม้การทำตามข้อตกลงครอบครัวดังกล่าวอาจสร้างความอึดอัด คับข้องใจให้กับตนเองก็ตาม
แต่การทำให้ธรรมนูญครอบครัวกลายเป็นสัญญาใจได้นั้น ก็มีความยากของมัน
โดยมีข้อแนะนำในการสร้างกติกาที่จะก่อเกิดเป็นสัญญาใจได้ ดังนี้
1. เป็นกติกาที่สมาชิกกำหนดขึ้นมาร่วมกัน
ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งเป็นคนกำหนดมีลักษณะเป็น “หลักเกณฑ์” มากกว่า “หลักกู”
2. เป็นกติกาที่ยึดโยงกับค่านิยม
ธรรมเนียมปฏิบัติอันเป็นที่ยอมรับร่วมกันของครอบครัว กติกาที่ฝืนค่านิยมหรือความเชื่อพื้นฐานของครอบครัวจึงยากที่จะศักดิ์สิทธิ์ได้
3. เป็นกติกาที่นำไปสู่ประโยชน์ส่วนรวมของครอบครัว
ไม่ได้เพื่อประโยชน์ส่วนตนของใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
4. เป็นกติกาที่ผู้มีอำนาจ หรือผู้ใหญ่ในครอบครัวก็ยังต้องปฏิบัติตาม โดยมีข้อยกเว้นน้อยที่สุด “อภิสิทธิ์” คือสิ่งที่ทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของธรรมนูญครอบครัว
เสาที่ 4 : กำหนดบทลงโทษ
กฎหมายที่ปราศจากบทลงโทษก็คงไม่ต่างจาก
“เสือกระดาษ” ซึ่งยากที่จะใช้ปกครองคนหมู่มากได้
ธรรมนูญครอบครัวที่ไม่มีบทลงโทษก็คงไม่แตกต่างกัน แต่การตั้งเป้าสร้าง “เขี้ยวเล็บ”
อันน่าสะพรึงกลัวให้กับธรรมนูญครอบครัว น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่แย่ที่สุดของการเขียนธรรมนูญ
เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น?
เพราะเมื่อพูดถึงการลงโทษ หรือ “บทลงโทษ” ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามกับ “รางวัล” (เสาที่ 2) นั้น
สมองของเราจะถูกดึงไปในด้านลบ และอาจไปสะกิดแผล หรือปมในใจของใครเข้าก็ได้
การพูดคุยในเรื่องบทลงโทษจึงต้องพูดคุยด้วยความเข้าใจ เมตตากัน
คือเป็นการลงโทษที่ผู้ถูกลงโทษก็เข้าใจสาเหตุดีว่าเพราะอะไร ในขณะที่สมาชิกคนอื่นๆ
ก็ต้องพร้อมที่จะให้อภัยแก่สมาชิกที่ทำผิด สำนึกผิด และถูกลงโทษแล้ว ครอบครัวต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
และพร้อมที่จะให้โอกาสแก่สมาชิกที่ทำผิดพลาดในการเริ่มต้นใหม่
บทลงโทษของการทำผิดธรรมนูญครอบครัวมักจะอยู่ในรูปของ
“บทลงโทษทางการเงินและสังคม” (Financial and Social Sanction) เช่น ไม่ให้ใช้เงินกงสีอีก ถูกหักลดสวัสดิการครอบครัว (ยึดรถ งดเงินเดือน
เฉือนค่าเน็ต ฯลฯ) ถูกห้ามไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมของครอบครัว เป็นต้น
ข้อควรระวังก็คือ การใช้บทลงโทษที่รุนแรงมากๆ เช่น ไล่ออกจากบ้าน รวมถึงการไม่ยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอีกต่อไปเป็นสิ่งที่ต้องคิดต้องคุยกันให้ดี เพราะแม้นักโทษประหารยังมีลดโทษ อภัยโทษได้ แง้มประตูไว้ซักนิดให้กับสมาชิกที่กลับตัวกลับใจเพราะ “บ้าน” ไม่ใช่ “ศาล” บทลงโทษก็ให้มีและใช้เท่าที่จำเป็นก็แล้วกัน
4 เสาสร้างธรรมนูญครอบครัวให้ศักดิ์สิทธิ์
ที่มา
: Family Business Asia
การสร้างธรรมนูญให้ศักดิ์สิทธิ์นั้น เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ของแต่ละครอบครัว
เป้าหมายสำคัญคือ การออกแบบเสาทั้ง 4 เพื่อสร้างกติกาครอบครัวที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งไม่ตึงเกินไป
และไม่หย่อนเกินไป โดยมีสถาปนิกผู้ออกแบบคือสมาชิกครอบครัวเรานั่นเอง
[1]
“Family is a life jacket in the stormy sea of life,” J.K. Rowling