เมื่อโอกาสธุรกิจประกันภัยกำลังมา ถึงเวลาทรานฟอร์ม
เป็นที่เข้าใจกันว่ายุคนี้ทุกอุตสาหกรรมถ้าไม่มีปรับเปลี่ยนตัวเองก็ต้องโดนดิสทรัปชั่นจากแรงกระแทกของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว
(Digital Transformation)
คำถามคือยังมีธุรกิจดั้งเดิมบางอย่างที่อาจขยับตัวได้ช้ากว่าที่เป็นอยู่
หนึ่งในนั้นคือ ธุรกิจประกันภัยเพราะยังใช้ระบบการปฏิบัติงานจากคนเป็นส่วนใหญ่
แต่จากนี้ไปการประกอบธุรกิจประกันภัย
รวมถึงนายหน้าซื้อขายประกัน (โบรกเกอร์) จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ซึ่งเห็นตัวอย่างเป็นอย่างดีในช่วงเวลานี้ กับโอกาสในวิกฤตของธุรกิจประกันภัย
ที่จู่ๆ ก็มาเคาะประตูกันถึงหน้าบ้าน
เมื่อวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19
ได้แพร่ระบาดไปหลายภูมิภาคทั่วโลก
กลับกลายสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับธุรกิจประกันอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน
เพราะประชาชนสนใจและถามหาการทำประกันโควิด-19
กันอย่างทั่วหน้า แม้จะเป็นการทำประกันที่มองเป็นปัจจัยเสี่ยงในการดำเนินชีวิตเพราะยังไม่มียารักษา
แต่อีกด้านหนึ่งอาจเป็นเพราะเบี้ยจ่ายที่ไม่ได้แพง
แล้วหลังจากนี้อะไรคือคำตอบที่จะทำให้ธุรกิจประกันภัยก้าวสู่อนาคตได้อย่างทันสถานการณ์
Digital Transformation ทำให้ธุรกิจประกันภัยไม่เหมือนเดิม
แม้ปัจจุบันการซื้อประกันทางออนไลน์จะเริ่มได้รับการตอบรับที่ดีมากขึ้น
แต่เมื่อไวรัสโควิด-19
เกิดขึ้นทำให้เห็นชัดเจนว่าจากนี้ไปธุรกิจประกันจะต้องให้ความตระหนักและเพิ่มลำดับความสำคัญการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจมากขึ้น
โดยที่ไม่สามารถปฏิเสธได้อย่างเมื่อก่อน
เพราะถ้าไม่ทำก็จะทำให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันน้อยลง
จากการเปิดเผยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
(คปภ.) ณ วันที่ 18 มี.ค. 2563 ที่ผ่านมา พบว่า ช่วงระยะเวลา 3
เดือนที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับโควิด-19 มียอดซื้อกรมธรรม์ทะลุถึง 2 ล้านกรมธรรม์
โดยมูลค่าเบี้ยประกันอยู่ที่กว่า 1,000 ล้านบาท
และกลายเป็นปรากฎการณ์หน้าใหม่ของประวัติศาสตร์การขายประกันออนไลน์ในประเทศไทย
เนื่องจากที่ผ่านมาการซื้อประกันออนไลน์ในสังคมไทยได้รับการตอบรับน้อย
เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเกาหลี หรือญี่ปุ่น
เมื่อประตูการขายประกันออนไลน์เปิดอย่างกะทันหัน สิ่งสำคัญที่สุดคือ ผู้ประกอบการธุรกิจประกันหรือโบรกเกอร์เอง จะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร เพราะสัญญาณมาชัดเจนแล้วว่าจะทำธุรกิจในรูปแบบเดิมไม่ได้อีกต่อไป ขณะเดียวกันความต้องการการทำประกันออนไลน์กับออฟไลน์แบบที่คุ้นชินก็มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นควรรีบวางแผนรับมืออย่างเข้มข้น
เมื่อบริษัทประกันชั้นนำเริ่มปรับตัวตามความต้องการยุคดิจิทัล
1.
การประกอบธุรกิจประกันภัยปัจจุบัน
เริ่มเห็นบริษัทประกันภัยชั้นนำ
นำอุปกรณ์ติดตาม Telematics
มาช่วยในการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ innovative ตอบสนองความต้องการลูกค้ารายบุคคลเห็นได้จากประกันภัยรถยนต์ที่นำอุปกรณ์ติดตาม
(Telematics) มาประยุกต์ใช้กับประกันรถยนต์เปิด-ปิดโดยใช้
Telematics ติดตั้งในรถ
เพื่อตรวจจับการสตาร์ท สต๊อป ของเครื่องยนต์ หรือ ใช้แอปพลิเคชั่นในการสั่งเปิดหรือปิดความคุ้มครอง
ซึ่งจะเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานประกัน โดยจ่ายค่าเบี้ยตามการขับรถจริง (pay-as-you-go) หรือเป็นการช่วยประหยัดค่าเบี้ยประกันรถยนต์ให้แก่ผู้ซื้อประกันในทางอ้อม
2. แนวโน้มการประกอบธุรกิจประกันในอนาคต
(1) Tracking Device จะถูกนำมาใช้เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้ารายบุคคลในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น
ส่งผลให้ประกันต้องเตรียมรองรับการเก็บข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าเชิงลึก
และธุรกรรมการเคลมที่ซับซ้อน อาศัยข้อมูลเฉพาะเจาะจงรายบุคคล
นอกเหนือจากประกันภัยรถยนต์ ในอนาคตอันใกล้
จะเริ่มเห็นการทำประกันสุขภาพที่ personalize
มากขึ้น อุปกรณ์ตรวจจับสุขภาพ smart watch หรือ
Wearable Device ต่างๆ
จะทำให้ทราบพฤติกรรมด้านสุขภาพและความเสี่ยงสุขภาพของลูกค้า อาทิ
อัตราออกกำลังกายหรือการเต้นของหัวใจ (Heart rate) ซึ่งอาจทำให้สามารถลดค่าเบี้ยให้กับลูกค้าที่เป็นกลุ่มมีความเสี่ยงต่ำ
ดังนั้น
ขั้นตอนการเก็บข้อมูลและพฤติกรรมลูกค้าจะมีความละเอียดและซับซ้อนมากขึ้น
โดยเป็นการเก็บข้อมูลพฤติกรรมส่วนบุคคลหรือเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของลูกค้ามากขึ้น
ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนที่จะเก็บข้อมูลเพียงชื่อที่อยู่ของลูกค้าเท่านั้น
เมื่อเทรนด์การตอบสนองการบริการลูกค้าในรายบุคคลมากขึ้น
การเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ทำประกันภัยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น
ข้อมูลลูกค้ารายคน การออกกรมธรรม์ ข้อมูลลูกค้ารายคน
และเคลมประกันภัยแต่ละครั้งจึงจะมีความซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม
สิ่งที่ธุรกิจประกันต้องทำคือ จะทำอย่างไรเพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้าในการทำธุรกรรมให้ง่ายที่สุด
และจัดการข้อมูลยังไงให้มีขั้นตอนการทำงานน้อยที่สุด
เพื่อรองรับลูกค้าให้ได้มากที่สุดในเวลาสั้นที่สุด
(2) จะมีการออกผลิตภัณฑ์ Micro Insurance ที่หลากหลาย
ทำให้ผู้รายได้ต่ำเข้าถึงประกันมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้จำนวนกรมธรรม์ต่อประชากรเพิ่มสูงขึ้น
ประกันต้องเตรียมรองรับจำนวนธุรกรรมทั้งการซื้อ และการเคลมที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
จากนี้ไปมีแนวโน้มมากขึ้นที่บริษัทประกันจะเริ่มออกผลิตภัณฑ์ประกันภัย ที่คุ้มครองระยะสั้น และเบี้ยประกันที่ไม่สูงมาก ส่งผลให้ผู้ที่มีรายได้ไม่สูงและยังเป็นกลุ่มที่ยังเข้าถึงการทำประกันที่น้อยอยู่ สามารถเข้าถึงประกันภัยได้ และด้วยการที่เบี้ยไม่แพงมากนัก การซื้อประกันภัยจะกลายเป็นเรื่องง่าย และใกล้ตัวมากกว่าเดิม
กลุ่มที่เข้าถึงประกันภัยอยู่แล้ว อาจมีซื้อประกันภัยหลากหลายประเภทมากขึ้น
หรือซื้อประกันภัยประเภทเดิมซ้ำหลายครั้ง เหมือนกรณีประกันภัยโควิด-19
ของไทยที่ผ่านมา มีผู้ทำประกันหลายคนที่ซื้อมากกว่า 1 กรมธรรม์
บางคนซื้อคนเดียวถึง 8 กรมธรรม์
ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากเมื่อเทียบกับการขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบปกติที่ผ่านๆมา
ดังนั้น ต่อไปจำนวนการถือกรมธรรม์ต่อคนจะเพิ่มขึ้นสูงมาก อย่างประเทศจีน Micro Insurance จาก
Zhongan สตาร์ทอัพประกันภัยออนไลน์กำลังได้รับความนิยมมาก
Zhongan สามารถสร้างยอดขายได้
7,000 ล้านบาทต่อปี จากผู้ทำประกันทั้งหมด 490 ล้านคน โดยมีค่าเฉลี่ย ลูกค้า 1 คนทำประกัน 15 กรมธรรม์
เท่ากับว่ามีโอกาสและมีแนวโน้มสูงมากที่ Micro Insurance กำลังจะเป็นเทรนด์ที่จะขึ้นประเทศไทยในอนาคต
เนื่องจากเป็นการใช้เบี้ยที่ไม่แพง แต่สิ่งสำคัญคือ
ถือเป็นความท้าทายและขีดความสามารถของบริษัทประกันและโบรกเกอร์ว่า
จะทำอย่างไรให้สามารถรองรับธุรกรรมจำนวนมากได้ ด้วยเวลาและพนักงานที่มีเท่าเดิม
เพราะต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ระบบการจัดการของธุรกิจประกันและโบรกเกอร์ยังมีการใช้ระบบปฏิบัติการแบบที่ใช้คนทำเอกสารทำธุรกรรมกับลูกค้า
ทั้งขั้นตอนการกรอกข้อมูล การออกกรมธรรม์ หรือการเคลมประกัน
การที่ยังไม่มีระบบรองรับธุรกรรมจำนวนมากและซับซ้อนที่อาจทำให้บริษัทประกันไม่สามารถรองรับลูกค้าที่เข้ามาได้อย่างทันท่วงที ส่งผลให้ลูกค้าหันไปใช้บริการคู่แข่งที่มีความพร้อม สิ่งเหล่านี้ถือเป็นค่าเสียโอกาสมูลค่ามหาศาล
ธุรกิจประกันควรนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยการบริหารจัดการข้อมูล
เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสที่จะเข้ามาในอนาคตสิ่งที่บริษัทประกันควรจะทำคือ การนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เข้ามาช่วยในการจัดเก็บข้อมูลลูกค้าจำนวนมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลกรมธรรม์ พฤติกรรมลูกค้ารายบุคคล หรือบัญชีโอนเงินสำหรับกรณีเคลม ขึ้นมาเก็บบนคลาวด์ ในรูปแบบ Smart contract ฐานข้อมูลบนคลาวด์ จะกลายเป็นส่วนกลาง ที่สามารถมอบอำนาจให้พนักงานที่เกี่ยวข้อง สามารถดึงข้อมูลเท่าที่จำเป็นไปใช้ดำเนินงานต่อได้
ซึ่งระบบบล็อกเชน
เอื้อให้หลายๆ ฝ่ายสามารถทำงานพร้อมกันบนระบบ และอัพเดทข้อมูลแบบเรียลไทม์
ทำให้สามารถลดการพึ่งพากันการทำงานของหลายฝ่าย และเวลาในการประสานงานเอกสาร
นอกจากนี้ ระบบบล็อกเชน ยังรองรับคำสั่งการทำงานแบบอัตโนมัติ เช่น
สามารถดำเนินการตรวจสอบเอกสารเคลม และโอนเงินเข้าบัญชีลูกค้าอัตโนมัติได้เลย
ซึ่งจุดนี้เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยรองรับธุรกรรมจำนวนมากพร้อมๆกัน
และแบ่งเบาภาระการทำงาน รวมถึงการพึ่งพาคน
จึงเห็นได้ชัดเจนว่า
การนำเทคโนโลยีมาช่วยจะทำให้สามารถประกอบธุรกิจที่รองรับความต้องการทำประกันในจำนวนที่มากขึ้น
ขณะที่ใช้จำนวนพนักงานเท่าเดิมได้
หรือเป็นการช่วยลดต้นทุนแรงงานที่ไม่มีความจำเป็นออกไป
…แม้ตอนนี้ดูเหมือนว่ายังไม่มีธุรกิจประกันภัยหรือโบรกเกอร์ประกันภัยรายใดที่นำเทคโนโลยีมาใช่เป็นระบบอย่างจริงจัง เมื่อเห็นโอกาสในวิกฤตตอนเกิดโควิด-19 ตอนนี้แล้วยังไม่รีบปรับเกมพลิกกลยุทธ์ธุรกิจ หลังวิกฤตการณ์นี้ผ่านไป จะเห็นได้ชัดเจนว่า ใครคือผู้อยู่รอดหรือตายในสนามรบท่ามกลางวิกฤตที่แท้จริงกันแน่…