THE GURU • INVESTMENT

ข่าวดี vs ข่าวร้ายในตลาดหุ้นจีน

บทความโดย: สุจารี จันทร์สว่าง

ตลาดหุ้นจีนมีพัฒนาการเชิงบวกหนุนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ได้แก่สถานการณ์ COVID-19 ที่ดีขึ้น จากรายงานจำนวนผู้ป่วยใหม่ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาครัฐเริ่มผ่อนคลายเช่น เริ่มเปิดให้สามารถนั่งทานอาหารในร้านในบางพื้นที่ของเมืองเซี่ยงไฮ้ ลดการกักตัวของผู้เดิน

ทางเข้ามาประเทศจีนลงจาก 3 สัปดาห์ เหลือเพียง 10 วัน นโยบายผ่อนปรนจากภาครัฐ แนวโน้มประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนจีนที่เริ่มทรงตัวได้ รวมถึง ดัชนี PMI ทั้งภาคผลิตและภาคบริการล่าสุด กลับขึ้นมาอยู่เหนือระดับ 50 จุดได้อีกครั้ง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อจีนยังอยู่ต่ำกว่าระดับเป้าหมาย ส่งผลให้ภาครัฐมีความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินและการคลังเพิ่มเติม สวนทางกับหลายประเทศทั่วโลกที่เร่งดำเนินนโยบายการเงินตึงตัว

ข่าวดีล่าสุด จีนเตรียมเปิดแผนกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ โดยกระทรวงการคลังกำลังพิจารณาให้รัฐบาลท้องถิ่นสามารถออกขายพันธบัตรพิเศษมูลค่ากว่า 2.2 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งหลังของปี โดยเงินทุนนั้นจะไปใช้ในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดและการล็อกดาวน์จากนโยบาย "Covid Zero"

ล่าสุดธนาคารกลางจีน (PBOC) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 โดย PBOC ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลาง (MLF) ระยะ 1 ปีซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีนที่ระดับ 2.85% โดยมีเป้าหมายที่จะรักษาสภาพคล่องในระบบการเงินให้มีอย่างเพียงพอและอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล และทางด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) สนับสนุนให้จีนเพิ่มการใช้นโยบายด้านการเงินและการคลังเพื่อพยุงเศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแอลงเนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ และควรใช้กลยุทธ์ที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อแก้ปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนซึ่งใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

ข่าวร้ายในตลาดหุ้นจีนก็ยังมี แต่ดูเหมือนตลาดซึมซับไปมากแล้ว สะท้อนได้จากดัชนีสำคัญของจีนในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมายังทรงตัว แม้ข่าว GDPไตรมาส 2 ของจีนขยายตัวเพียง 0.4% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาลที่ระดับ 5.5% อยู่มาก เนื่องจากเศรษฐกิจได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมโรคโควิด-19 และตัวเลข GDP ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดว่าจะขยายตัว 1% การสั่งล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้เป็นเวลานานถึง 2 เดือน โดยบังคับให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน และสั่งควบคุมการเดินทาง สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะงักงัน

ข่าวร้ายอีกด้านคือข่าวรัฐบาลจีนปรับบริษัทเทคโนโลยีอีก 28 คดีในข้อหาผูกขาดครอบงำตลาด โดยTencent โดนมากที่สุด 12 คดี Alibaba โดน 5 คดี นอกจาก Alibaba กับ Tencent ที่ถูกปรับในครั้งนี้ก็ยังมี Didi, Bilibili, Weibo, Ping An Good Doctor, Citic Capital และ SoftBank ด้วย ซึ่งเป็นผลจากการกำกับดูแลที่เข้มงวดจากนโยบายการสร้างความเท่าเทียมกัน การสั่งปรับเป็นขั้นตอนสุดท้ายหลังการไต่สวนที่เกิดขึ้นในช่วงการที่ทางการจีนออกนโยบายอย่างเข้มข้นใน 1-2 ปีที่ผ่านมา จนส่งผลกระทบให้หุ้นยักษ์ใหญ่ของจีน ราคาร่วงลงมาอย่างต่อเนื่องในรอบปีที่ผ่านมา

ราคาหุ้นจีนขนาดใหญ่ที่เคยมีความเสี่ยงจากการกำกับดูแลของภาครัฐปัจจุบันมีระดับความเสี่ยงและผลกระทบที่ลดลง ราคาหุ้นได้ตกลงมาสะท้อนปัจจัยที่ส่งผลกระทบ ทำให้ระดับราคาปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสม และนักลงทุนสถาบันได้มีการให้คำแนะนำในการเข้าไปทยอยสะสมการลงทุนในหุ้นจีน จากการเปิดเมืองและนโบายการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ 

ผลงานกองทุนหุ้นจีน 4 ค่ายดังที่บลจ.คัดมาแนะนำให้นักลงทุนเริ่มทยอยสะสม ในระยะเวลาหนึ่งเดือนย้อนหลัง กองทุนสร้างผลงานเป็นบวกได้ระดับ 0.66-7.20% ดังนี้

ผลงานหนึ่งเดือนย้อนหลัง ณ 14 กรกฎาคม 65 จาก Morningstarthailand


- ASP-EVOCHINA เน้นลงทุนตรง และมีบางส่วนลงทุนในกองทุนหลักบริหารโดย T Rowe Price และลงทุนในกอง ETF ลงทุนหุ้น All Shares ผลตอบแทน+7.20%

- KT-AShares กองหลักบริหารโดย Allianze ลงทุนหุ้น A Shares ผลตอบแทน +3.98%

- SCBCHEQ กองหลักบริหารโดย Schroder ลงทุนหุ้น All Shares ผลตอบแทน +3.43%

- TMBCOF กองหลักบริหารโดย UBS เน้นลงทุนหุ้น H Shares ผลตอบแทน +0.66%

หุ้นจีนมีความหลากหลายและมีการจดทะเบียนอยู่ในหลายๆตลาดสำหรับนักลงทุนที่ถือหุ้นจีนอยู่และต้องการคำแนะนำในการลงทุนสามารถนำพอร์ตการลงทุนมาปรึกษาได้ที่เวลท์ รีพับพลิค 


อ้างอิง : www.scmp.com, www. morningstarthailand.com, SCBAM

เกี่ยวกับนักเขียน

สุจารี จันทร์สว่าง ผู้ถือหุ้น/ผู้ก่อตั้ง และกรรมการผู้จัดการ บลน. เวลท์ รีพับบลิค จำกัด ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในแวดวงการลงทุนธุรกิจจัดการกองทุน มากว่า 30 ปี

อ่านบทความทั้งหมดของนักเขียน