ภาวะเงินเฟ้อ ผลกระทบและแนวทางการลงทุน
สถานะล่าสุด
นับตั้งแต่ย่างเข้าปี
2565 เป็นต้นมา หลายปัจจัยพากันรุมเร้าโลกการเงินการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งสถานการณ์ในยุโรปตะวันออก และทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางรายใหญ่ ๆ
ของโลกที่กำลังจะเปลี่ยนไป รวมถึงภาวะที่อัตราเงินเฟ้อในเศรษฐกิจสำคัญของโลก
รวมถึงของประเทศไทยเอง มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รูปที่ 1 -- อัตราเงินเฟ้อสหรัฐอเมริกา ช่วง 5 ปีล่าสุด ข้อมูล ณ 27 กุมภาพันธ์ 2565
รูปที่ 2 -- อัตราเงินเฟ้อกลุ่มยุโรป ช่วง 5 ปีล่าสุด ข้อมูล ณ 27 กุมภาพันธ์ 2565
รูปที่ 3 -- อัตราเงินเฟ้อประเทศไทย ช่วง 5 ปีล่าสุด ข้อมูล ณ 27 กุมภาพันธ์ 2565
ด้านการคาดการณ์ของตลาดและสำนักข้อมูลเศรษฐกิจรายใหญ่ของโลก
Tradingeconomic.com คาดว่าอัตราเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์
2565 ของสหรัฐอเมริกาและกลุ่มยุโรปจะอยู่ที่ระดับ 7.7% และ 5.3% ตามลำดับ
ซึ่งหากเป็นไปตามนั้น ก็จะเป็นระดับสูงสุดใหม่ในรอบหลายสิบปี
ทำลายสถิติเดิมในเดือนมกราคม 2565 ที่อยู่ในระดับ 7.5% และ 5.1% ตามลำดับ
นอกจากนั้น ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากเศรษฐกิจโลกที่ทยอยฟื้นตัว ร่วมกับสถานการณ์ในยุโรปตะวันออกที่เป็นปัจจัยในช่วงล่าสุด
ผลสืบเนื่องมายังทิศทางนโยบายการเงิน
สถานการณ์ต่างๆ
ดังกล่าวซึ่งส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อ เป็นตัวเร่งให้ธนาคารกลางจำเป็นต้องปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วขึ้นกว่าความตั้งใจเดิม
โดยจะสังเกตได้จากมุมมองของกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FED’s FOMC) แต่ละท่าน ที่เห็นว่าควรปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
(FED Funds Rate)
เร็วขึ้นกว่าเดิม ซึ่งในการประชุมรอบเดือนกันยายน 2564 สามารถคำนวณค่าเฉลี่ยของ
FED Funds Rate ในปี 2565 ตามความเห็นของกรรมการ
FED’s FOMC ได้ที่ระดับ
0.29% แต่ตัวเลขนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็น
0.81% ในการประชุมรอบเดือนธันวาคม
2564
ด้านการคาดการณ์ของตลาดการเงินที่สะท้อนผ่าน FED Funds Rate Futures แสดงให้เห็นว่า ในการประชุม FED’s FOMC ครั้งที่กำลังจะถึงในวันที่ 15-16 มีนาคม 2565 มีโอกาส 76% ที่จะปรับเพิ่มจากกรอบเดิม 0.00%-0.25% ขึ้นมาเป็น 0.25%-0.50% (ปรับขึ้นหนึ่งขั้น) และมีโอกาส 24% ที่จะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ในกรอบ 0.50%-0.75% (ปรับขึ้นสองขั้น) โดยที่ไม่มีโอกาสเลยที่จะคง FED Fund Rates ไว้ตามเดิม
ผลกระทบต่อการลงทุนช่วงที่ผ่านมา
อัตราเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมาอยู่ในระดับสูงสูงสุดในรอบหลายสิบปี
ประกอบกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่รุดหน้า จนทำให้คณะกรรมการ FED’s FOMC และตลาดการเงินมีความเห็นโน้มเอียงไปสู่การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยที่เร็วและมากขึ้น
ร่วมกับกำหนดการการลดความเร็ว QE (Tapering) ที่เปิดเผยรายละเอียดออกมาแล้วในระยะก่อนหน้า
ทำให้อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ปรับเพิ่มขึ้น จนราคาตราสารหนี้ระยะกลางถึงระยะยาวและราคาหุ้นกลุ่มที่มูลค่าขึ้นอยู่กับการคาดหวังความเติบโตระดับสูงในอนาคต
เช่นหุ้นเทคโนโลยี ได้รับผลกระทบด้านลบอย่างชัดเจน
ผลกระทบในส่วนของตราสารหนี้ มาจากความสัมพันธ์แบบผกผันของราคาตราสารและอัตราดอกเบี้ยในตลาด
รูปที่ 4 – อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของรัฐบาลไทยและสหรัฐอเมริกา
ที่มา: tradingeconomics.com ณ 25 กุมภาพันธ์ 2565
ผลกระทบในส่วนของหุ้นเทคโนโลยี นอกจากปัจจัยเชิงวิทยาแล้ว เหตุผลสำคัญก็ยังมาจากอัตราคิดลดที่เพิ่มสูงขึ้นจนทำให้มูลค่ากิจการลดลง เนื่องจากกระแสเงินสดก้อนใหญ่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตตามประมาณการการเติบโตที่สูง ได้ถูกคิดลดในอัตราที่สูงขึ้น
แนะนำแนวทางการลงทุน
ลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลางถึงระยะยาว
ตลอดจนหุ้นเทคโนโลยีที่มูลค่าพื้นฐานอิงกับการคาดการณ์กระแสเงินสดก้อนใหญ่ในอนาคตระยะยาวเป็นหลัก
(ซึ่งเมื่อถูกคิดลดด้วยอัตราคิดลดที่สูงขึ้นแล้วจะเหลือมูลค่าปัจจุบันที่ต่ำลงมาก)
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความแน่นอนสูง
แนะนำเพิ่มสัดส่วนการลงทุนกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น สำหรับนักลงทุนต้องการเปิดโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงจากหุ้น
แนะนำกองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ที่ธุรกิจยังเติบโตได้ดีและมูลค่าพื้นฐานอิงกับกระแสเงินสดระยะปัจจุบันและอนาคตในระยะกลางเป็นหลัก
(ซึ่งการคิดลดในอัตราคิดลดที่สูงขึ้นจะส่งกระทบไม่รุนแรงนัก)
โดยกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่แนะนำได้แก่
ASP-DPLUS (กองทุนเปิด
แอสเซทพลัส ตราสารหนี้ เดลี่ พลัส) เน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือเฉลี่ย
3 เดือน ถึง 1
ปี ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 0.67% ย้อนหลัง
3 ปีเฉลี่ย 1.29%
ต่อปี
KKP PLUS (กองทุนเปิดเคเคพี
ตราสารหนี้พลัส) เน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือเฉลี่ย
3 เดือน ถึง 1
ปี ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 0.80% ย้อนหลัง
3 ปีเฉลี่ย 1.13%
ต่อปี
และกองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ที่แนะนำได้แก่
KT-CLMVT-A (กองทุนเปิดกรุงไทย
หุ้น ซีแอลเอ็มวีที ชนิดสะสมมูลค่า) เน้นลงทุนหุ้นกลุ่มประเทศกัมพูชา เมียนมา
เวียดนาม ลาว และไทย (CLMVT) ผลตอบแทนย้อนหลัง
1 ปี 30.58%
ย้อนหลัง 3 ปีเฉลี่ย 11.80% ต่อปี
TLMSEQ (กองทุนเปิดทาลิส
MID-SMALL CAP หุ้นทุน)
เน้นลงทุนหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กในตลาดหุ้นไทย ทั้งใน SET และ/หรือ mai ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 42.81% ย้อนหลัง 3 ปีเฉลี่ย 25.34% ต่อปี
(กองทุนแนะนำโดยเทรเชอริสต์ ข้อมูล ณ 25 กุมภาพันธ์ 2565)