NEWS UPDATE • CRYPTOCURRENCY

อัยการสหรัฐ แฉหมดเปลือกกลโกง SBF ทำลูกค้าสูญเงิน 8,000 ล้านดอลลาร์

เมื่อวันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม 2565 นาย Sam Bankman-Fried หรือชื่อย่อ SBF ถูกตำรวจบาฮามาสควบคุมตัว โดยอัยการสูงสุดของบาฮามาสออกแถลงการณ์ระบุว่า การจับกุมตัวอดีต CEO ของ FTX เกิดขึ้นหลังจากทางการสหรัฐแจ้งว่าได้ยื่นฟ้อง SBF ในคดีอาญา 

ก่อนหน้าที่จะถูกจับกุมตัวอย่างกะทันหันที่สำนักงานใหญ่ FTX ซึ่งตั้งอยู่ที่ประเทศ บาฮามาส SBF ยังมีการพบปะกับผู้สื่อข่าวหลายสำนัก โดยระบุว่าเขารู้สึกเสียใจอย่างมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น และเขากำลังทำทุกวิธี และอาจตั้งบริษัทใหม่เพื่อหาทางเยียวยาผู้เสียหาย โดยสำนักข่าว CNBC ระบุว่า SBF ได้บอกกับหน่วยงานกำกับดูแลของบาฮามาสว่า “เสียใจอย่างสุดซึ่งที่ต้องลงเอยแบบนี้” อย่างไรก็ตามภายหลังถูกจับกุมตัว ก็ยังไม่มีรายงานออกมาว่า SBF ขอโทษในเรื่องอะไร เพราะเขาได้ปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวว่า ไม่ได้ทำการฉ้อโกงใด ๆ 

แต่หนึ่งวันหลังจากเขาถูกจับกุม อัยการและหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐบาลกลางได้เปิดเผยเอกสารและข้อกล่าวหาหลายสิบหน้า ซึ่งกล่าวหาว่า SBF ไม่เพียงแต่กระทำการฉ้อโกง แต่ได้กระทำการดังกล่าว “ตั้งแต่เริ่มต้น” ตามการยื่นฟ้องของ ก.ล.ต. สหรัฐ หรือ SEC 

โดย SEC และ คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า หรือ Commodity Futures Trading Commission : CFTC ร่วมกับสำนักงานอัยการสหรัฐ โดยนาย Damain Williams อัยการสหรัฐกล่าวว่า “SBF เป็นหัวใจสำคัญ ที่แท้จริงแล้วเป็นผู้ขับเคลื่อนการฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อเมริกา” และยังมีการเปรียบเทียบข้อมูลเชิงลึกกับคดีที่โด่งดังอย่างการล้มละลายของบริษัทด้านพลังงานอย่าง Enron ด้วย

ย้อนไปเมื่อเดือน พฤศจิกายน ปี 2560 SBF ก่อตั้งบริษัท Alameda Research ซึ่งเป็นบริษัทกองทุนด้านคริปโทฯ โดยเช่าพื้นที่สำนักงานในเบิร์กลีย์ แคลิฟอร์เนีย ซึ่งบริษัท Alameda Research นี้โดยพื้นฐานแล้วจะเน้นการทำ arbitrage เป็นหลัก เป็นการซื้อ bitcoin ในราคาต่ำ และนำไปขายในราคาที่สูงกว่าบนกระดานอื่น ๆ ซึ่งสิ่งที่ทำให้ SBF และ Gary Wang ได้กำไรอย่างมหาศาลคือความแตกต่างของราคา bitcoin ในเกาหลีใต้ กับตลาดอื่น ๆ ในโลก พวกเขาตั้งชื่อเล่นให้กับวิธีการสร้างกำไรนี้ว่า “the kimchi swap.”

ในเมษายน 2562  3 บัณฑิตจาก Berkeley คือ SBF,  Zixiao Gary Wang และ Nishad Singh ก็ได้ก่อตั้งกระดานเทรดคริปโทฯ FTX.com ขึ้นมา โดยนำเสนอคุณสมบัติด้านนวัตกรรมให้กับลูกค้า พร้อมโพสิชั่นในการเป็นแพลตฟอร์มเทรดที่ตอบสนองรวดเร็วและประสบการณ์ที่น่าเชื่อถือ

หน่วยงานกำกับดูแลของรัฐบาลกลางของ CFTC ระบุว่า หลังจากเปิดกระดานเทรด FTX ได้เพียง 1 เดือน SBF ก็ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินของลูกค้า โดยเฉพาะคริปโทฯ ไปเป็นทุนในการทำ arbitrage ให้กับ Alameda และยังระบุด้วยว่าเรื่องนี้คนนอกไม่มีทางรู้ เป็นเรื่องที่รู้กันในวงเล็ก ๆ เท่านั้น

ทั้งนี้ธุรกิจสามารถนำเงินของลูกค้าไปลงทุนเพื่อทำกำไรอย่างถูกกฎหมายได้ วิธีนี้เรียกว่า Rehypothecation แต่จะต้องได้รับความยินยอมจากลูกค้าก่อน ซึ่ง SBF ไม่ได้รับอนุญาตใด ๆ จากลูกค้า อีกทั้งเงื่อนไขการใช้งาน FTX ก็ระบุชัดเจนว่า ไม่ว่าใครรวมถึง Alameda Research ก็ไม่สามารถใช้เงินของลูกค้าเพื่ออะไรก็ตาม เว้นแต่ลูกค้าจะอนุญาต

CFTC อ้างอิงรายงานปี 2562 ระบุว่า ตั้งแต่ก่อตั้ง FTX มีเงินของลูกค้าเข้ามาจำนวนมาก โดยเฉพาะโวลุ่มบนตลาดฟิวเจอร์อย่างเดียวก็เกิน 100 ล้านดอลลาร์ต่อวัน ซึ่งทาง CFTC ระบุว่า การให้ Alameda นำเงินของลูกค้าไปเดิมพันต่อ ถือเป็นการฉ้อโกง ซึ่ง SBF ต้องเผชิญกับข้อหาฉ้อโกงทางอาญานี้อย่างแน่นอน โดยขณะนี้ SBF กำลังมุ่งหน้าไปยังศาล Bahamian เพื่อมอบตัวต่อกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดน และการพิจารณาคดีทางอาญานั้นจะเริ่มขึ้นเมื่อ SBF กลับมายังแผ่นดินสหรัฐ

ตามการยื่นฟ้องของ CFTC ยังระบุด้วยว่า ภายในปี 2564 กระดานเทรด FTX และบริษัทในเครือถือครองสินทรัพย์มูลค่าประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 10% ของปริมาณธุรกรรมดิจิทัลทั่วโลก มีการเคลียริ่งการซื้อ-ขาย มูลค่า 16,000 ล้านดอลลาร์ทุกวัน

ทาง SEC ระบุต่อว่า การฉ้อโกงนานนับปีนี้ ไม่ได้มีแค่การนำเงินของลูกค้าไปเล่นต่อเท่านั้น โดย FTX นั้นใช้การสร้างความน่าสนใจบนกระดานผ่าน designated market maker (DMM) หรือมาร์เก็ตเมคเกอร์ของตัวเอง โดยในระบบการเงินแบบเดิมนั้น DMM จะเป็นบริษัทที่ทำหน้าที่ดูแลสภาพคล่องในตลาด โดยได้รับกำไรจากส่วนต่างของราคาเป็นค่าตอบแทน 

โดยตั้งแต่ก่อตั้ง FTX ขึ้นมา Alameda ก็รับหน้าที่เป็น DMM และดำเนินการโดยมีผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่าง FTX และ Alameda เพื่อสนับสนุนอาณาจักรที่กำลังเติบโตของ SBF และแม้ว่าจะมีผู้ดูแลสภาพคล่องรายอื่นเสนอตัวเข้ามา แต่ Alameda ก็ยังคงเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องรายใหญ่ที่สุดของ FTX โดย SEC ระบุด้วยว่า Alameda มีชุดเครื่องมืออันทรงพลังที่แตกต่างจากผู้ดูแลสภาพคล่องรายอื่นหรือผู้ใช้ระดับสูง

SEC อ้างว่า ในเดือนสิงหาคม ปี 2562 SBF สั่งให้ทีม FTX เขียนโปรแกรมเพื่อทำให้ Alameda สามารถ "รักษายอดคงเหลือติดลบในบัญชีของตนได้ โดยปราศจากข้อกำหนดด้านหลักประกันใด ๆ นอกจากนี้ Alameda ยังสามารถเข้าถึงช่องทางพิเศษ (fast-lane) ซึ่งช่วยให้พวกเขาตัดผ่านผู้ใช้รายอื่นและลดเวลาในการดำเนินการซื้อ-ขายได้หลายมิลลิวินาที ตามรายงานของ CFTC 

การยื่นฟ้องในศาลระบุว่า ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทขึ้นมา Alameda สูญเสียเงินไปแล้วกว่า 3,700 ล้านดอลลาร์ ซึ่งโครงสร้างการขาดทุนรวมถึงพอร์ทการให้กู้ยืมของ Alameda ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการล่มสลายของกระดานเทรด FTX 

SBF ถูกกล่าวหาว่าสั่งให้ Alameda เพิ่มการใช้สินทรัพย์ของลูกค้า เปรียบเหมือนการได้วงเงินสินเชื่อ “ไม่จำกัด” จาก FTX 

ภายในกลางปี 2565 Alameda เป็นหนี้ลูกค้า (ที่ไม่รู้ตัว) ของ FTX ประมาณ 8,000 ล้านดอลลาร์ แต่ SBF ยังยืนยันว่า FTX มีระบบการจัดการความเสี่ยงและการปฏิบัติตามกฎระเบียบระดับโลก แต่ในความเป็นจริง ตามการยื่นฟ้องล้มละลายของบริษัทเองนั้น FTX แทบไม่มีอะไรเลยในการเก็บบันทึก

จนในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 เว็บไซต์ข่าวคริปโทฯ อย่าง CoinDesk ได้เผยแพร่รายละเอียดเกี่ยวกับงบดุลของ Alameda ซึ่งมีสินทรัพย์ราว 14,600 พันล้านดอลลาร์ โดยสินทรัพย์เหล่านั้นกว่า 7,000 พันล้านเหรียญมีทั้งโทเค็น FTT หรือเหรียญที่สนับสนุนโดย SBF เช่น Solana หรือ Serum ส่วนเงินอีก 2,000 ล้านดอลลาร์ถูกล็อคไว้ในการลงทุนในตราสารทุน

นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ความลับของ Alameda Research ถูกเปิดเผยสู่ภายนอก เปรียบเสมือนหมู่บ้าน Potemkin Village ยุคใหม่ ที่สร้างสิ่งสวยงามเป็นฉากหน้าเพื่อปกปิดสิ่งเลวร้ายภายใน ส่งให้นักลงทุนเริ่มเลิกใช้โทเค็น FTT และถอนสินทรัพย์ตัวเองออกจาก FTX เป็นการเริ่มต้นฝันร้ายของ SBF 

Alameda ยังคงมีสินเชื่อค้ำประกันหลายพันล้านรายการที่ค้างอยู่ เมื่อมูลค่าของหลักประกันอย่างโทเค็น FTT ลดลงมากเกินไป ผู้ให้กู้ก็จะดำเนินการเรียกเงินประกันเพิ่มเติม และเรียกร้องให้ชำระคืนเงินกู้เต็มจำนวน ซึ่งแน่นอนว่าสถานการณ์ที่ราคา FTT ร่วงอย่างรวดเร็วจึงส่งผลให้ Alameda และ FTX ประสบปัญหาสภาพคล่องทันที

SBF ได้ทวีตข้อความ (ซึ่งลบไปแล้ว) อ้างว่า FTX ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่และสินทรัพย์ของลูกค้านั้นปลอดภัย แต่ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2565 หรือ 4 วันหลังจากบทความของ CoinDesk รอยร้าวได้ขยายวงกว้างเป็นช่องว่าง จากความเคลื่อนไหวของ “CZ” CEO ของ Binance อดีตนักลงทุนใน FTX เก่าที่ผันตัวมาเป็นคู่แข่ง

โดย CZ ก่อตั้ง Binance ในปี 2560 และเป็นนักลงทุนภายนอกรายแรกของ FTX โดยระดมทุนรอบ Series A ในปี 2562 และออกจากการลงทุนภายในเดือนกรกฎาคม 2564 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ FTX ระดมทุน 1,000 ล้านดอลลาร์จากบริษัทชื่อดังอย่าง Sequoia Capital และ Thoma Bravo 

ต่อมา CZ ประกาศว่า เขาได้เทขายเหรียญ FTT ที่เป็นผลกำไรจากการลงทุนทิ้งทั้งหมด ราคาโทเค็น FTT ร่วงอย่างรวดเร็ว จาก 25.3 ดอลลาร์ ลงมาเหลือ 21.4 ดอลลาร์ ส่งให้ FTX ต้องทำทุกวิธีเพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้น โดย Caroline Ellison CEO ของ Alameda Research ประกาศช้อนซื้อเหรียญ FTT คืนจาก Binance ด้วยราคา 22 ดอลลาร์ ทำให้ราคากระเตื้องกลับขึ้นมาได้ ช่วยป้องกันการไหลออกได้ราว 2 วัน

จนถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2565 ปัญหาสภาพคล่องหนักขึ้นเรื่อย ๆ มีการประเมินว่าหนี้สินอาจสูงถึง 8,000 ล้านดอลลาร์ โดย SBF ได้ติดต่อกับนักลงทุนหลายรายเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็ถูกปฏิเสธทั้งหมด จนกระดานเทรด FTX ต้องประกาศหยุดการถอนเงินของลูกค้าในวันนั้น โทเค็น FTT ราคาร่วงถึง 75% เมื่อไม่มีทางเลือก SBF จึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือจาก CZ เป็นที่มาของการที่ Binance ประกาศเข้าซื้อกิจการ FTX 

แต่ภายหลังกระบวนการสอบทานธุรกิจเพียง 1 วัน ทาง Binance ก็ออกมาประกาศชัดเจนว่า การซื้อกิจการจะไม่เกิดขึ้น โดยบอกว่า FTX มีปัญหาที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งการจัดการเงินของลูกค้าที่ผิดพลาดและปัญหาการสืบสวนของรัฐบาลกลาง

11 พฤศจิกายน 2565 SBF ประกาศลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ FTX โดยบริษัทด้านกฎหมายอย่าง Sullivan & Cromwell ซึ่งร่วมงานกับ FTX มานาน ได้ติดต่อไปยัง John J. Ray ผู้ที่เคยดูแลการล้มละลายของ Enron มารับตำแหน่ง CEO แทน SBF และในวันนี้ FTX ก็ประกาศยื่นล้มละลายอย่างเป็นทางการ 

1 เดือนต่อมา SBF ถูกทางการบาฮามาสจับกุม โดยอยู่ระหว่างรอส่งผู้ร้ายข้ามแดนในข้อหาฉ้อโกง สมรู้ร่วมคิด และฟอกเงิน

CFTC อ้างว่า การฉ้อโกงครั้งนี้ ทำให้เงินของลูกค้าหายไปกว่า 8,000 ล้านดอลลาร์ ลูกค้าบางรายต้องสูญเสียเงินเก็บทั้งชีวิต กองทุนของบุตรหลานที่เรียนมหาวิทยาลัย เงินดาวน์ในอนาคตของพวกเขาไปทั้งหมด โดยประเมินว่าผลพวงจากการกระทำครั้งนี้อาจมีค่าสูงถึง 4 ล้านชีวิต


ข้อมูลจาก : CNBC