Exclusive Interview : เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
อธิบดีกรมสรรพากร
เปลี่ยนโฉมสรรพากรยุคใหม่
ทำงานแบบ Agile มุ่งใช้ Data Analytics
“ตั้งแต่วันแรกที่ได้เข้ามาทำงานได้วางรากฐาน เปลี่ยน Culture ขององค์กร โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลหรือ Data Analytics เข้ามาช่วย ปรับวิธีการทำงานให้เป็นแบบ Agile มากขึ้น รวมถึงการร่วมมือกับสตาร์ตอัพและให้โอกาสคนรุ่นใหม่ ซึ่งตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสิ่งที่ได้ทำไว้เริ่มออกดอกออกผลแล้ว”
“การระบาดของ COVID-19 โดยเฉพาะสายพันธุ์ Omicron อาจส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรในอนาคต
ขณะที่โลกปัจจุบันยังมีความผันผวน ไม่แน่นอน ดังนั้น วิธีการทำงานต้องมีความ Agile มากขึ้น
ซึ่งโชคดีที่สรรพากรมีบุคลากรทุกคนร่วมแรงร่วมใจ มองว่าวิกฤติทำให้เราแกร่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าวันนี้ระบบที่วางไว้น่าจะรองรับความผันผวนต่างๆ ได้”
หลังจาก
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 16
พฤษภาคม 2561 ได้ประกาศเดินหน้าปรับองค์กรให้เป็นกรมสรรพากรยุคดิจิทัล
โดยประกาศใช้ยุทธศาสตร์ D2RIVE และขับเคลื่อนนโยบายนี้อย่างจริงจัง
จนถึงตอนนี้เป็นเวลากว่า 3 ปี แล้ว ดร.เอกนิติ
ให้สัมภาษณ์พิเศษ การเงินธนาคาร ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ได้ปรับกรมสรรพากรให้เป็นองค์กรที่ทันสมัย ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ Data Analytics เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
ตลอดจนให้โอกาสคนรุ่นใหม่และทำงานร่วมกับสตาร์ตอัพมากขึ้น
เพื่อทำให้การจัดเก็บภาษีได้ตรงเป้า ออกแบบนโยบายทางภาษีตรงกลุ่ม
บริการประชาชนและผู้เสียภาษีตรงใจมากยิ่งขึ้น
“ตั้งแต่วันแรกที่ได้เข้ามาทำงาน
ได้วางรากฐาน เปลี่ยน Culture
ขององค์กร โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล หรือ Data Analytics เข้ามาช่วย
ปรับวิธีการทำงานให้เป็นแบบ Agile
มากขึ้น
รวมถึงการร่วมมือกับสตาร์ตอัพและให้โอกาสคนรุ่นใหม่ ซึ่งตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา
ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสิ่งที่ได้ทำไว้เริ่มออกดอกออกผลแล้ว”
เดินหน้าใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
อำนวยความสะดวกผู้เสียภาษี
ดร.เอกนิติกล่าวว่า
ในช่วงที่ผ่านมา
กรมสรรพากรมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในระบบการให้บริการด้านภาษี
เพื่อช่วยส่งเสริมภารกิจด้านการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร
รวมทั้งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ และผู้เสียภาษีสามารถทำธุรกรรมภาษีได้ง่าย
ลดต้นทุน
และให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและการใช้บริการอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากร
“กรมสรรพากรมีเป้าหมายทำให้บริการอิเล็กทรอนิกส์
มีความง่ายตามความต้องการใช้งานของผู้ประกอบการ ผู้เสียภาษี และมีมาตรฐานระดับสากล
โดยปัจจุบัน กรมสรรพากรมุ่งเน้นการพัฒนาสู่องค์กรดิจิทัล ทั้งภายในองค์กร
รวมถึงการบูรณาการความร่วมมือกับภาครัฐ”
โดยปัจจุบันกรมสรรพากรได้นำ
Data Analytics มาช่วยในกระบวนการทำงานและการบริหารจัดเก็บภาษี
ดังนี้
1. นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) มาใช้ในการพัฒนาระบบแชตบอต
(Chatbot) น้องอารี
เพื่อการตอบคำถามเรื่องภาษีสรรพากรให้กับผู้เสียภาษีแบบอัตโนมัติ
2.
นำระบบวิเคราะห์ข้อมูล Data
Analytics มาใช้ในการ บริหารการจัดเก็บภาษีอากร
เพื่อการควบคุมและติดตามผลการจัดเก็บภาษีของหน่วยจัดเก็บภาษี
ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง รวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรม
รวมถึงสามารถปรับปรุงการให้บริการผู้เสียภาษีอย่าง ถูกต้อง รวดเร็ว
ทันต่อเหตุการณ์
3.
พัฒนาระบบ VAT Fraud เพื่อมาวิเคราะห์ข้อมูลของผู้เสียภาษี
ทำให้สามารถวิเคราะห์การปฏิบัติหน้าที่ทางภาษีได้อย่างแม่นยำ
4.
ด้านนโยบายภาษีอากร กรมสรรพากรได้พัฒนาระบบ Policy Simulation ในการวิเคราะห์ข้อมูล Data Analytics มาวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจด้านต่างๆ
ของประเทศ เพื่อกำหนดนโยบายทางด้านภาษีให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
5.
พัฒนาระบบ Tax
Forecasting มาช่วยในการวิเคราะห์และจัดทำประมาณการภาษี
ทั้งในระดับประเทศ และระดับหน่วยกำกับดูแล
ทำให้กรมสรรพากรสามารถบริหารการจัดเก็บภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6.
พัฒนาระบบ Taxpayer
Analysis เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้เสียภาษี
โดยได้นำข้อมูลต่างๆ มาวิเคราะห์ความผิดปกติ เพื่อจำแนกผู้เสียภาษีเป็นกลุ่มดี
กลุ่มเสี่ยง
และเป็นข้อมูลสนับสนุนเจ้าหน้าที่ในการกำกับดูแลผู้เสียภาษีได้อย่างเป็นธรรม
7. พัฒนาระบบ Social Network Analysis เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้เสียภาษีในรูปแบบของความสัมพันธ์การเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจต่อกัน
ซึ่งทำให้กรมสรรพากรสามารถตรวจสอบและกำกับ ดูแลผู้เสียภาษีได้อย่างเป็นธรรม
ดร.เอกนิติกล่าวว่า
นอกจากการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และ Data
Analytics มาสนับสนุนกระบวนการทำงานแล้ว
กรมสรรพากรยังใช้เทคโนโลยีดังกล่าวมาช่วยในการให้บริการและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน
เช่น
1.
ปรับปรุงระบบ My Tax
Account ใหม่ โดยเพิ่มวิธีการยืนยันตัวตนด้วย NDID ช่วยให้ผู้เสียภาษีเข้าถึงข้อมูลและบริการบนเครือข่าย
อินเทอร์เน็ต ตรวจสอบข้อมูลค่าลดหย่อนต่างๆ ด้วยตนเองก่อนยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 หรือ
ภ.ง.ด.91 เช่น เงินสมทบกองทุน ประกันสังคม เบี้ยประกันสุขภาพของผู้มีเงินได้
เงินบริจาคผ่านระบบ e-Donation
เงินสะสมกองทุนบำเหน็จบำนาญ ข้าราชการ (กบข.)
เบี้ยประกันชีวิต เบี้ยประกันสุขภาพบิดา มารดา เป็นต้น
2.
การพัฒนา Smart Financial
Infrastructure for Business ร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมข้อมูล 3 ส่วนเข้าไว้ด้วยกันคือ ข้อมูลซื้อขาย
ข้อมูลการชำระเงิน และข้อมูลภาษีเพื่อยกระดับการทำธุรกรรมครบวงจรทั้งการค้า
การชำระภาษี และสินเชื่อ
3.
ระบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินสำหรับตราสารอิเล็กทรอนิกส์ อ.ส.9 หรือ e-Stamp Duty รองรับการทำธุรกรรม
5 ตราสารอย่างเต็มรูปแบบ และได้เปิดให้บริการตราสาร e-Stamp Duty เพิ่ม
22 ตราสาร ส่งผลให้ครอบคลุมครบทุกประเภทตราสารตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์
4.
ระบบ VES หรือ
VAT for Electronic
Service เป็นระบบที่กรมสรรพากรได้จัดทำขึ้น
เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจไอทีข้ามชาติที่ ให้บริการ e-Service จากต่างประเทศ
เตรียมแผนระยะสั้น-ปานกลาง
เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี
ดร.เอกนิติกล่าวว่า
ในไตรมาสแรก ของปีงบประมาณ 2565 (ต.ค.64-ธ.ค.64) กรมสรรพากรจัดเก็บรายได้จำนวน
411,377 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 57,622 ล้านบาท หรือ 16.3%
สูงกว่าประมาณการตาม เอกสารงบประมาณ 49,696 ล้านบาท หรือ 13.7%
เนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล และอากรแสตมป์ จัดเก็บได้สูงกว่าปีก่อน
สะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว
สำหรับปีงบประมาณ
2565 กรมสรรพากรได้รับเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ตามเอกสารงบประมาณ จำนวน 1,876,100
ล้านบาท ใกล้เคียงผลจัดเก็บในปีงบประมาณ 2564 ภายใต้สมมติฐานการเติบทางเศรษฐกิจที่
3.0-4.0% และอัตราเงินเฟ้อ 0.7-1.7%
ทั้งนี้
การแพร่ระบาดของ COVID-19
อาจส่งผลกระทบการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรในอนาคต
หากมีการเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19
โดยจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งการจ้างงาน จำนวนนักท่องเที่ยว
รายได้ และกำไรของธุรกิจ ซึ่งจะส่งผลให้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม และอากรแสตมป์จัดเก็บ ได้ลดลง นอกจากนี้
หากรัฐบาลมีมาตรการบรรเทาภาระภาษีเพิ่มเติม
เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีให้ลดลงด้วย
“การระบาดของ COVID-19 โดยเฉพาะสายพันธุ์ Omicron อาจส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรในอนาคต
ขณะที่โลกปัจจุบันยังมีความผันผวน ไม่แน่นอน ดังนั้น วิธีการทำงานต้องมีความ Agile มากขึ้น
ซึ่งโชคดีที่สรรพากรมีบุคลากรทุกคนร่วมแรงร่วมใจ มองว่า วิกฤติทำให้เราแกร่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าวันนี้ระบบที่วางไว้น่าจะรองรับความผันผวนต่างๆ ได้”
อย่างไรก็ตาม
กรมสรรพากรได้มีแนวทางและนโยบายการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง
เพื่อให้การจัดเก็บภาษีอากรเป็นไปตามเป้าหมาย
โดยแบ่งเป็น แผนระยะสั้น ได้แก่
1.
การวิเคราะห์ข้อมูล Sector
ศักยภาพเพื่อติดตามการจัดเก็บภาษี
การติดตามจัดเก็บภาษีจากธุรกิจที่มีศักยภาพ หรือเติบโต ในสถานการณ์ปัจจุบัน
และติดตามเงินงบประมาณ/เงินลงทุนภาครัฐที่ลงไปท้องที่ต่างๆ
2. การจัดทำ Data Analytics เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี
การเชื่อมโยงข้อมูลภายใน ภายนอก การเปรียบเทียบข้อมูล และจัดทำ Data Analytics เพื่อวิเคราะห์
ความเสี่ยงของรายผู้เสียภาษีที่อาจจะมีการยื่นแบบและชำระภาษีไว้ไม่ถูกต้อง
3.
แผนกำกับตรวจสอบภาษีเงินได้นิติบุคคลเชิงลึก ในประเด็นความผิดปกติที่มีนัยสำคัญ การวิเคราะห์แบบแสดงรายการภาษี
งบการเงิน การตรวจสอบภาษีในเชิงลึก โดยการวิเคราะห์ประเด็น ที่มีนัยสำคัญทางภาษี
เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและติดตามจัดเก็บภาษีให้ถูกต้องต่อไป
4.
การตรวจสอบราคาโอน และเร่งรัดการจัดทำข้อตกลง การกำหนดราคาเป็นการล่วงหน้า (APA) การตรวจสอบกิจการข้ามชาติที่มีบริษัทแม่ในต่างประเทศและมีบริษัทลูกในไทยที่มีการกำหนดราคาโอน
ระหว่างกัน ไม่ถูกต้อง
ไม่เป็นไปตามประมวลรัษฎากรและการเจรจาทำความตกลงการกำหนดราคาเป็นการล่วงหน้า (APA) ระหว่างสรรพากรไทย
และสรรพากรต่างประเทศ และผู้เสียภาษี
5. แผนขยายฐานภาษีเชิงกว้างสำหรับผู้เสียภาษีที่อยู่นอกระบบภาษี
ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลภายใน ภายนอก และเครื่องมือ Data Analytics โดยมุ่งเน้นไปที่ผู้ประกอบการรายใหม่
หรือผู้ที่อยู่นอกระบบภาษี เพื่อขยาย ฐานภาษีให้เข้าสู่ระบบมากขึ้น
6.
กำกับดูแลและติดตามผู้ประกอบการ e-Service
การติดตามผู้ประกอบการ Electronic Platform ต่างประเทศ
ที่มีการให้บริการในประเทศไทย เช่น Google, Facebook, Agoda และ Netflix เป็นต้น
7.
ติดตามผู้ไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษี (แผนติดตาม Non-Filer) การติดตามกลุ่มผู้มีเงินได้จากเงินเดือน
ค่าจ้างที่มีเงินได้ถึงเกณฑ์ตามกฎหมาย แต่ไม่ได้ยื่นแบบ แสดงรายการภาษี
หรือกลุ่มผู้มีเงินได้ที่เคยยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้แต่ภายหลังขาดการยื่นแบบฯ
เพื่อติดตามให้ กลับมายื่นแบบให้ถูกต้อง
โดยจะดำเนินการติดตามการยื่นแบบทุกประเภทภาษี
นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังได้กำหนดแผนระยะกลาง
โดยการปรับปรุงกฎหมายภาษีระหว่างประเทศเพื่อรองรับมาตรฐานสากล
โดยกรมสรรพากรได้มีการเตรียมการเพื่อปรับปรุงกฎหมายภาษีระหว่างประเทศเพื่อรองรับมาตรฐานสากล
ซึ่งปัจจุบันกรมสรรพากรอยู่ระหว่างการศึกษาและเตรียมความพร้อมในการนำข้อเสนอการจัดเก็บภาษี
ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลของ OECD
(Pillar 1 และ Pillar 2) มาปฏิบัติ
ทั้งนี้
การปรับปรุงกฎหมายภาษีระหว่างประเทศเพื่อรองรับมาตรฐานสากลมีวัตถุประสงค์ในการป้องกัน
การกัดกร่อนฐานภาษีและการโอนย้ายกำไรไปยังประเทศที่มีอัตราภาษี (Tax Haven) สร้างความเป็นธรรม
ในการจัดเก็บภาษี รวมทั้งการป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี และเพื่อป้องกันประเทศต่างๆ
ดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติ โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยการเก็บภาษีในอัตราต่ำ
“ที่ผ่านมา
เราได้ขยายฐานภาษีโดยการจัดเก็บภาษีใหม่คือ e-Service ขณะที่ปัจจุบันสรรพากรอยู่ระหว่างการปรับปรุงกฎหมายภาษีระหว่างประเทศเพื่อรองรับกติกาโลกในการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลระหว่างประเทศ
เพื่อเป็นฐานภาษีใหม่ สร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี
รวมทั้งการป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายปีนี้”
นอกจากนี้
กรมสรรพากรมีความร่วมมือกับหน่วยงานจัดเก็บภาษีในต่างประเทศเพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีอากรทั้งในรูปแบบความร่วมมือทวิภาคีและพหุภาคี
ซึ่งการดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีอากรนั้น
เป็นเครื่องมือในการป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีอากรและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี
“หลักในการเก็บภาษีของกรมสรรพากรคือเพื่อสร้างความเป็นธรรมโดยการทำให้คนเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น
หากปล่อยให้เกิดความไม่เป็นธรรมคนดีหรือคนที่เสียภาษีถูกต้องก็ไม่อยากเป็นคนดี
เห็นได้จากหลายประเทศที่ปัจจุบันจัดเก็บรายได้ไม่ได้เพราะคนไม่เสียภาษี
เนื่องจากรู้สึกไม่เป็นธรรม”
เผยความคืบหน้าภาษี e-Service
จัดเก็บได้แล้วกว่า 2.5 พันล้านบาท
ดร.เอกนิติยังได้กล่าวถึงความคืบหน้าในการจัดเก็บภาษี e-Service โดยตั้งแต่ 1 กันยายน 2564 พบว่า ประเทศไทยมีผู้ประกอบการต่างประเทศมาจดทะเบียนและนำส่งภาษีแล้วกว่า 123 ราย จาก 5 ประเภท Platform ใกล้เคียงกับประเทศต่างๆ ที่มีการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มจากการให้บริการในประเทศ ขณะที่มีภาษีชำระต่อเดือนกว่า 630 ล้านบาท โดยผลจัดเก็บสะสมถึงเดือนมกราคม 2565 รวมจัดเก็บได้ 2,525.47 ล้านบาท
ติดตามคอลัมน์ Exclusive Interview ได้ในวารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนมีนาคม 2565 ฉบับที่ 479
ในรูปแบบดิจิทัล : https://goo.gl/U6OnIi
รวมช่องทางการสั่งซื้อวารสารการเงินธนาคาร ทั้งฉบับปัจจุบันและฉบับย้อนหลัง ครบจบที่นี้ที่เดียว : https://bit.ly/3bQdHgt