Exclusive Interview : อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เดินหน้าพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่
ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วย New
Growth
“เศรษฐกิจปี 2564 จะดีแค่ไหนขึ้นอยู่กับครึ่งปีหลังจะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจไม่ชะลอตัวมากเกินไป โดยการเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย.นี้ จะช่วยกระตุ้นภาคท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ต้องควบคุมการระบาดไปพร้อมการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีมาตรการป้องกันตามแนวทางสาธารณสุข พร้อมเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชน ซึ่งรัฐบาลรับประกันว่า ในสิ้นปีนี้จะได้ฉีดวัคซีน 70% ของประชากร และได้ยืดเป้าหมายขึ้นไปเป็น 80%”
“บางคนเอาเศรษฐกิจไทยไปเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
โดยมองว่าเราโตต่ำสุดในอาเซียน แต่ต้องไม่ลืมว่าเศรษฐกิจของเราใหญ่เป็นอันดับ 2
ของอาเซียนรองจากอินโดนีเซีย ซึ่งการที่เศรษฐกิจใหญ่การฟื้นตัวไม่ใช่เรื่องง่าย
ถ้าไม่มีเครื่องยนต์ใหม่ หรือ New Growth ดังนั้น ในช่วงหลังการระบาดของโควิด-19
จะต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจและมุ่งเน้นเครื่องยนต์ใหม่
เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโยได้ในระยะยาว และสามารถแข่งขันกับเวทีโลกได้”
เศรษฐกิจไทยปี 2564
ยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงเร่งผลักดันมาตรการ โดยเฉพาะด้านการเยียวยาประชาชน
ไปพร้อมกับการกระตุ้นการใช้จ่าย
พร้อมเดิมหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ในระยะยาว
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์พิเศษ การเงินธนาคาร ว่า
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ ทำให้เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังได้รับผกระทบจากมาตรการคุมการระบาดที่ออกมาเพิ่มเติม
ดังนั้น รัฐบาลจึงเริ่มผ่อนคลายมาตรการคุมโควิด-19 พร้อมเปิดประเทศในวันที่ 1
พ.ย.นี้ เพื่อเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงท้ายของปีไม่ให้เศรษฐกิจไทยในปี 2564
ชะลอตัวมากเกินไป
“เศรษฐกิจปี 2564 จะดีแค่ไหนขึ้นอยู่กับครึ่งปีหลังจะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจไม่ชะลอตัวมากเกินไป
โดยการเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย. จะช่วยกระตุ้นภาคท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม
ต้องควบคุมการระบาดไปพร้อมการกระตุ้นเศรษฐกิจ
โดยมีมาตรการป้องกันตามแนวทางสาธารณสุข พร้อมเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชน ซึ่งรัฐบาลรับประกันว่า
ในสิ้นปีนี้จะได้ฉีดวัคซีน 70% ของประชากร และได้ยืดเป้าหมายขึ้นไปเป็น 80%”
มองจีดีพีปี 64-65 ไม่ติดลบ
พร้อมออกมาตรการกระตุ้นต่อเนื่อง
อาคมกล่าวว่า
หน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และกระทรวงการคลัง คาดว่า
เศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะเติบโตได้เฉลี่ย 0.7-1.3% โดยมองว่าในช่วงไตรมาส 3
และไตรมาส 4 มี 3 ปัจจัยในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ ได้แก่
1.การส่งออกที่ขยายตัวได้ดีขณะที่เงินบาทอ่อนค่า 2.การใช้จ่ายภายในประเทศ และ
3.การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวหลังจากเปิดประเทศ
“ธปท.
สภาพัฒน์ และกระทรวงการคลัง คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะเติบโตได้เฉลี่ย
0.7-1.3% ขณะที่หน่วยงานเอกชนบางแห่งคาดการณ์ว่าจีดีพีจะติดลบ ดังนั้น
เพื่อความไม่ประมาท เราต้องมาพิจารณาว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เศรษฐกิจติดลบในปีนี้
โดยกระทรวงการคลังมองว่าในช่วงมาส 3 มี 3 แรงที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจคือ
การส่งออกที่ขยายตัวได้ดีขณะที่เงินบาทอ่อนค่า การใช้จ่ายภายในประเทศ และการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวหลังจากเปิดประเทศ”
อาคมกล่าวต่อว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2565
หน่วยงานด้านเศรษฐกิจยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 3-4%
ขณะที่รัฐบาลมองว่าจะขยายตัวได้ 4-5%
โดยปัจจัยที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้าคือกระทรวงการคลังจะยังออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง
ควบคู่กับการออกมาตรการสนับสนุนสินเชื่อและมาตรการพักชำระหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.)
“สิ่งที่จะมาช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีหน้าคือการกระตุ้นการใช้จ่ายที่ยังมีต่อเนื่อง
โดยอาจเป็นโครงการเดิมแต่เอามาทำใหม่ เช่นโครงการคนละครึ่งเฟส 4
และโครงการช้อปดีมีคืน รวมถึงมาตรการสินเชื่อและพักชำระหนี้ที่ ธปท.
ดำเนินการอย่างเต็มที่”
นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2565 คือการใช้จ่ายงบประมาณจากภาครัฐ โดยเม็ดเงินที่จะใช้สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2565 มีด้วยกัน 3 ส่วน ได้แก่
1.
เงินกู้จาก พ.ร.ก.เงินกู้ แบ่งเป็น 2 ฉบับ ได้แก่
พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ปัญหา
เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 พ.ศ.2563 หรือ
พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท
และพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 เพิ่มเติม พ.ศ.2564 หรือ
พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท
“พ.ร.ก.กู้เงิน
1 ล้านล้านบาทได้จบลงแล้วเนื่องจาก พ.ร.ก. กำหนดให้กระทรวงการคลังกู้เงินได้จนถึงสิ้นเดือน
ก.ย. 64 โดยกระทรวงการคลังกู้ไม่เต็มจำนวน ขาดไปประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
เนื่องจากความล่าช้าของโครงการและการกู้เราไม่ได้กู้เอาเงินมากองไว้แต่กู้เมื่อมีความต้องการใช้เงิน
ขณะที่เงินกู้ก้อนที่ 2 จำนวน 5 แสนล้านบาท ก็ใช้หลักการเดียวกัน”
2. งบประมาณปี 2565 ซึ่งเริ่มประกาศใช้ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2564 ดังนั้น งบประมาณปี 2565 จะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของปี 2564 ในไตรมาสสุดท้ายด้วย โดยจะประกอบด้วยโครงการลงทุนต่าง เงินเดือนราชการ และรายจ่ายประจำ และ
3. เม็ดเงินของรัฐวิสาหกิจจำนวน 3 แสนล้านบาท
“ในปี 2565
มีเม็ดเงินที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยกัน 3 ส่วน ได้แก่ เงินกู้จาก
พ.ร.ก.กู้เงิน เงินงบประมาณประจำปี และเม็ดเงินของรัฐวิสาหกิจ ดังนั้น
หากราชการพร้อม รับวิสาหกิจพร้อม เม็ดเงินของรัฐบาลออกตามกำหนดการแน่นอน”
4 แนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ให้พร้อมแข่งขัน-โตได้ในระยะยาว
อาคมกล่าวว่า
รัฐบาลคาดว่าภายในสิ้นปี 2564 จะเห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นบวกได้
โดยภาคการส่งออกสินค้าจะเป็นกุญแจขับเคลื่อนที่สำคัญ ส่วนในปี 2565
เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะฟื้นกลับมาขยายตัวได้แข็งแกร่งกว่าเดิม
สำหรับนโยบายการหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19
จะต้องมุ่งเน้นการขับเคลื่อนเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อให้สามารถเติบโตได้ในระยะยาว
ได้แก่
การส่งเสริม Bio-Circular-Green
Economy model หรือ BCG model ซึ่งรูปแบบทางเศรษฐกิจดังกล่าวนี้
จะให้ความสำคัญในการใช้ทรัพยากรชีวภาพเพื่อสร้างสินค้าที่มีมูลค่าสูง
คำนึงถึงการนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด
และการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรแก่สิ่งแวดล้อม
ซึ่งรัฐบาลได้มีการดำเนินมาตรการไปบ้างแล้ว
เช่น
การออกพันธบัตรเพื่อสิ่งแวดล้อมเพื่อสังคมและเพื่อความยั่งยืน การส่งเสริมการลงทุนในยานยนต์ไฟฟ้าภายในปี
2573 และในต้นปีนี้
รัฐบาลได้ประสบความสำเร็จในการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืน
และได้รับการจดทะเบียนใน Luxembourg Green Exchange (LGX) ของตลาดหลักทรัพย์ลักเซมเบิร์ก
นอกจากนี้ หนึ่งในหัวข้อหลักของ BCG
คือ การดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
(Climate Change) ซึ่งการเข้าสู่เศรษฐกิจใหม่ที่สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลกธุรกิจไม่ว่าขนาดใดต้องคำนึงถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยโครงการของรัฐที่พยายามขับเคลื่อนคือรถยนต์ไฟฟ้า
(Electric
Vehicle : EV) ซึ่งรัฐบาลตั้งเป้ามาหมายว่าต้องมีรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 2
แสนคัน ในปี 2573 โดยต้องพิจารณาแนวทางต่างๆ ให้รอบด้าน เช่น ใช้มาตรการภาษีจูงใจ
มีเงินอุดหนุนเพื่อลดราคาลง ตลอดจนต้องพิจารณาเรื่องภาษีแบตเตอรี่
ซึ่งเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ลดค่าไฟ และลดภาษีให้ Charging Station
การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจไปสู่อุตสาหกรรมใหม่
โดยการเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ พร้อมทั้งมุ่งเน้นการลงทุนใน 12
อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) อาทิ
อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร
ตลอดจนการลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(Eastern
Economic Corridor : EEC) เพื่อเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่
ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาผลิตภาพทางการผลิตของประเทศ
“การกระตุ้นเศรษฐกิจต้องมี New
Growth หรือเครื่องยนต์ตัวใหม่ ซึ่งก็คือโครงการใน EEC ที่ยังมีความต่อเนื่อง เราแบ่งเป็นสามส่วน ส่วนแรกคือ โครงสร้างพื้นฐาน
สองคือโครงการของรัฐด้านนวัตกรรม และสามคือโครงการของเอกชน
ทั้งหมดนี้จะเป็นโครงการ 3 ประเภทหลักที่จะสร้างความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจไทยในปี
2565 เป็นต้นไป”
การปรับเข้าสู่ความเป็นดิจิทัล (Digitalization)
เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย
ทั้งภาคส่วนเอกชนและรัฐบาลต้องให้ความสำคัญในการนำเทคโนโลยีทางดิจิทัลมาปรับใช้
โดยทางรัฐบาลได้อำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนด้วยบริการยื่นแบบและชำระภาษีออนไลน์
และการทำธุรกรรมออนไลน์กับรัฐวิสาหกิจ เพื่อลดต้นทุนต่างๆ
ที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมเงินสด
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขั้นสูงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
โดยเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะในระบบขนส่งมวลชน และพลังงานหมุนเวียนที่สะอาด
รวมถึงสนับสนุนผู้ผลิตพลังงานรายย่อย
และส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้
นวัตกรรมการจัดหาเงินทุนก็เป็นสิ่งจำเป็น โดยอาจเริ่มจากการสนับสนุนให้เกิดการระดมทุนในโครงการหรือกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
อีกทั้งคณะที่ปรึกษาหารือด้านการจัดหาทุน (A consultative group
in financing) อาจจะสามารถจะเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพ
“บางคนเอาเศรษฐกิจไทยไปเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
โดยมองว่า เราโตต่ำสุดในอาเซียน แต่ต้องไม่ลืมว่าเศรษฐกิจของเราใหญ่เป็นอันดับ 2
ของอาเซียนรองจากอินโดนีเซีย ซึ่งการที่เศรษฐกิจใหญ่การฟื้นตัวไม่ใช่เรื่องง่าย
ถ้าไม่มีเครื่องยนต์ใหม่หรือ New Growth ดังนั้น
ในช่วงหลังการะบาดของโควิด-19จะต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจและมุ่งเน้นเครื่องยนต์ใหม่เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโยได้ในระยะยาวและสามารถแข่งขันกับเวทีโลกได้”
ขยายเพดานหนี้เพิ่มพื้นที่การคลัง
เดินหน้าปฏิรูปโครงสร้างภาษี
อาคมยังได้กล่าวถึงการที่รัฐบาลได้ขยายเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจาก
60% เป็น 70% ว่า การขยายเพดานหนี้สาธารณะ ไม่ได้หมายความว่าขยายแล้วต้องกู้ให้เต็มเพดาน
แต่เป็นการเปิดช่องไว้ให้มีพื้นที่เมื่อมีความจำเป็นต้องกู้ นอกจากนี้
การขยายเพดานหนี้สาธารณะไม่ได้ระบุไว้ว่าเฉพาะการกู้จาก พ.ร.ก. กู้เงินเท่านั้น
แต่รวมถึงการกู้เงินในกรณีอื่นด้วย เช่น การกู้เงินเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
ทั้งนี้ หากสถานการณ์โควิด-19
คลี่คลายลงความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินกู้ในการเยียวยาเศรษฐกิจจะน้อยลงเช่นกัน
ดังนั้น
ในอนาคตการกู้เงินจะมีวัตถุประสงค์เพื่อการลงทุนเป็นการอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจผ่านโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
เช่น โครงการรถไฟทางคู่ โครงการรถไฟความเร็วสูง ตลอดจนการลงทุนด้านนวัตกรรม เช่น 5G
“เรื่องการยกเพดานหนี้ของเรายกเผื่อไว้ในกรณีที่จำเป็น
ขณะที่ขีดความสามารถในการชำระหนี้ไม่ได้มีปัญหา Rating Agency ยังให้ Rating ประเทศเราดีอยู่
ซึ่งหากโควิดคลี่คลายแล้วกลายเป็นโรคประจำถิ่น
ความจำเป็นที่ต้องใช้เงินมาอัดฉีดพวกนี้จะน้อยลง เงินที่จะกู้มาจะใช้เรื่องของการลงทุนมากขึ้น
เน้นเรื่องการลงทุนที่เกิดผลตอบแทน”
อาคมกล่าวว่า 2 ปีที่ผ่านมา
ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19
ทุกประเทศเน้นมาตรการด้านการคลังคือการที่รัฐบาลกู้เงินมาใช้ในการช่วยเหลือประชาชน
ดังนั้น อีกด้านต้องดูเรื่องข้อจำกัดทางด้านรายได้ โดยต้องมีการจัดเก็บรายหรือหาได้ให้มากขึ้น
ซึ่งเป็นที่มาของการปฏิรูปภาษีและการขยายฐานภาษี
โดยการปฏิรูปภาษีต้องพิจารณาจากหลักการของภาษีคือการสร้างความเป็นธรรม
การกระตุ้นให้เกิดการลงทุน กระตุ้นให้เกิดการแข่งขัน เช่น
ในเรื่องโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะพิจารณาเรื่องของการหักค่าลดหย่อนให้มีความเป็นธรรมและเท่าเทียมมากขึ้น
“วันนี้กองทุนต่างๆ
ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีค่อนข้างมากเพราะมีหลายกองทุน ดังนั้น
เราจึงพยายามที่จะรวมเข้ามาให้เป็นกลุ่มเดียวกัน
แล้วกำหนดว่ารวมทุกกองทุนแล้วลดหย่อนได้ไม่เกินเท่าไร ซึ่งจะช่วยทำให้เม็ดเงินเข้ามาสู่ภาครัฐมากขึ้น”
สำหรับการขยายฐานภาษีต้องทบทวนการจัดเก็บภาษีที่ไม่เคยเก็บมาก่อน
เช่น
การจัดเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นในตลาด
ซึ่งปัจจุบันมี 2 แนวคิดบางประเทศเก็บเฉพาะ Capital Gain ขณะที่บางประเทศเก็บเฉพาะ Transaction หรือบางประเทศเก็บทั้ง
2 อย่าง ขณะที่แนวคิดของประเทศไทยคือไม่ได้เก็บเฉพาะ Transaction
“เรื่องนี้อาจเป็นตัวหนึ่งที่เราคิดไว้แต่ยังไม่รู้ว่าเริ่มเมื่อไร
ต้องดูสภาพเศรษฐกิจและต้องดูตลาดด้วย เรามีการพูดคุยกับทางตลาดหลักทรัพย์ฯ
และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย โดยเขาเป็นห่วงว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้น แต่เราบอกว่าเขามีการเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ
ไว้ก็ต้องไปลดตรงนั้น แต่ในส่วนนี้เราไม่ได้เก็บมา 30 ปี เพื่อให้ตลาดโต ดังนั้น
ตอนนี้น่าจะเก็บได้แล้ว”
นอกจากนี้
ประเทศไทยยังได้ร่วมมือทางด้านภาษีกับองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
(OECD)
ในการดำเนินการเรื่องภาษีระหว่างประเทศ โดยแบ่งเป็น 2 Pillar
ได้แก่
1. การแบ่งปันภาษีแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่
โดยแพลตฟอร์มจากต่างประเทศที่มีรายได้ในประเทศต่างๆ
โดยไม่ได้มีที่ตั้งในประเทศนั้น หากมีกำไรเกิน 10% ต้องแบ่งให้ประเทศที่ไปหารายได้
“แพลตฟอร์มจากต่างประเทศที่มีรายได้ในประเทศต่างๆ
โดยไม่ได้มีที่ตั้งในประเทศนั้น หากมีกำไรเกิน 10% ต้องแบ่งให้ประเทศที่ไปหารายได้
สมมติกำไร 20% เก็บไว้ได้ 10% อีก 10% ต้องแบ่งไปคำนวณภาษีในประเทศนั้น
ซึ่งเดิมคาดว่ากำหนดใช้ในปี 2566-2567 แต่มองว่าปี 2566 เร็วไป
จึงขอยืดเวลาออกไปเป็นปี 2567 ซึ่งอันนี้ได้ประโยชน์กันทั่วโลก”
2. Global Minimum Tax
Rate โดยกำหนดให้เมื่อไปลงทุนประเทศใดก็ตามต้องเสียภาษีให้ประเทศนั้นขั้นต่ำ
15%และหากประเทศใดอัตราภาษีต่ำกว่า 15% ประเทศแม่มีสิทธิ์เก็บเพิ่มให้ได้ 15%
โดยวัตถุประสงค์เพื่อไม่ให้แข่งกันลดภาษี เนื่องจากปัจจุบันทุกประเทศที่แข่งกันดึงดูดการลงทุนแข่งกันลดภาษี
ซึ่งทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ
“เราไม่ได้หวังว่ารายได้ของเราจะเติบโนเท่าในภาวะปกติเพราะต้องยอมรับว่าในปี
2565 จะยังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ต่อเนื่องจากปีนี้
ภาษีนิติบุคคลอาจไม่ได้เป็นไปตามเป้าแต่เชื่อว่าเราจะเก็บได้มากกว่าปีนี้
ซึ่งการเก็บภาษีปีนี้เก็บไม่ได้ตามเป้าหมายแต่เก็บได้สูงกว่าปีที่แล้ว
ปีหน้าก็เช่นเดียวกัน”
ติดตามคอลัมน์ Exclusive Interview ได้ในวารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2564 ฉบับที่ 475
ในรูปแบบดิจิทัล : https://goo.gl/U6OnIi
รวมช่องทางการสั่งซื้อวารสารการเงินธนาคาร ทั้งฉบับปัจจุบันและฉบับย้อนหลัง ครบจบที่นี้ที่เดียว : https://bit.ly/3bQdHgt