Exclusive Interview : ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย
ผยง ศรีวณิช
ประธานสมาคมธนาคารไทย
กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย
ปรับปรุง ฟื้นฟูเปลี่ยนแปลง
พันธกิจภาคธนาคารกู้เศรษฐกิจไทย
“เราอยากลดbleeding ของระบบ ประคองความบอบช้ำเพื่อให้เดินผ่านไปได้ เมื่อผู้ประกอบธุรกิจ มีความพร้อมมากขึ้น ภาระน้อยลง พอถึงเวลาที่สิ่งแวดล้อมปัจจัยมหภาคต่างๆเอื้อ วัคซีนมา ก็สร้างความมั่นใจ เกิดกิจกรรมปกติ เขาก็สามารถกลับมาแข็งแรงได้อย่างรวดเร็ว”
ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ระลอกใหม่ ที่เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2564
และรุนแรงมากขึ้นเมื่อเดือนเมษายน
ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่เคยคาดว่าจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลังอาจจะล่าช้าออกไป
และส่งผลกระทบต่อภาคประชาชนและภาคธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง (เอสเอ็มอี)
รวมไปถึงธุรกิจขนาดใหญ่มากขึ้นด้วย
ภาครัฐและเอกชน
ต่างร่วมกันที่จะช่วยแก้ไขวิกฤตดังกล่าว โดยเฉพาะสมาคมธนาคารไทย
และธนาคารสมาชิกได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย
กระทรวงการคลัง ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้า
ในรูปแบบต่าง ๆ
เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤตนี้ไปได้โดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังต้องเผชิญความท้าทายหลายรูปแบบ
“วัคซีน”ปัจจัยแห่งความหวัง
ฟื้นเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปี 2564
ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และ
กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า
การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะระลอกเดือนเมษายน
ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปีอย่างมากแสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนและความรุนแรง
แต่หากสามารถควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่
ฉีดวัคซีนให้ประชนอย่างรวดเร็ว และครอบคลุมประชากรประมาณ 70%
ก็จะช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะต่อไปได้
“การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่จึงเป็นเป้าหมายที่มีความท้าทาย โดยทุกภาคส่วนรวมทั้งภาคเอกชนก็มีความมุ่งมั่นที่จะร่วมกันกับภาครัฐในเรื่องนี้เพราะวัคซีนเป็นหนทางเดียวที่จะปูทางไปสู่การกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจ”
ทั้งนี้ ประเทศที่ประสบความสำเร็จในการกระจายวัคซีนอย่างสหรัฐอเมริกา
และสหราชอาณาจักร เศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวเร็ว โดย IMF คาดว่าจะเติบโตได้เกิน
5%
ในปีนี้หรือกว่า 2
เท่าของค่าเฉลี่ยอัตราการเติบโตก่อนเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ สามารถกลับมาดำเนินได้ตามปกติมากขึ้น
ขณะที่ประเทศที่กระจายวัคซีนได้ช้า
อย่างกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้5 ประเทศรวมถึงไทย
เศรษฐกิจปีนี้มีแนวโน้มเติบโตไม่ถึง 5%
และยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอัตราการเติบโตในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
อีกด้วย
สำหรับประเทศไทย
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะฟื้นตัวในแบบ K-Shape Recoveryโดยธุรกิจที่อิงกับการส่งออกสินค้าจะฟื้นตัวได้ก่อน
เพราะความต้องการสินค้าจากต่างประเทศมีแนวโน้มเติบโตได้ดีเห็นได้จากมูลค่าการส่งออก
3
เดือนแรกที่เติบโตกว่า 8%
(ไม่รวมทองคำ) และคาดว่าจะเติบโตได้ดีต่อเนื่องไปในครึ่งปีหลัง
ซึ่งเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ประกอบการ
“ประเด็นสำคัญซึ่งเป็นความเสี่ยงระยะสั้นคือการควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ไม่ให้กระทบกับแรงงานในสายการผลิตที่ยังรอการรับวัคซีนไม่ใช่มาจากเรื่องดีมานด์”
ส่วนกลุ่มธุรกิจที่อิงกับกำลังซื้อในประเทศและธุรกิจบริการจะฟื้นตัวได้ช้ากว่ามาก เพราะอุปสงค์ในประเทศอ่อนแอและการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติต้องล่าช้าออกไป มาตรการช่วยเหลือเยียวยาจึงยังมีความจำเป็นซึ่งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือกันช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการออกมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู มาตรการพักทรัพย์พักหนี้ (Asset Warehousing) และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 3 เป็นต้น
“ด้วยเหตุที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับ Divergence 2 ด้าน การฟื้นตัวจึงยังไม่เต็มที่ เศรษฐกิจในปี 2564 จึงอาจจะเติบโตไม่ถึง 2% แต่หากสามารถกระจายวัคซีนได้ตามเป้าหมายในช่วงที่เหลือของปีนี้ เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจปีหน้า 2565 จะเติบโตได้ 5%”
ปรับปรุง ฟื้นฟู เปลี่ยนแปลง
หลักยึดก้าวข้ามผ่านวิกฤต
ผยงกล่าวด้วยว่า
จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ที่ส่งผลกระทบรุนแรงและเป็นวงกว้าง
การช่วยเหลือลูกหนี้ธุรกิจและลูกหนี้รายย่อยจึงเป็นภารกิจเร่งด่วน โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ซึ่งมาตรการรอบแรกเป็นการช่วยเหลือทั่วไปอาจจะไม่พอและมีข้อจำกัด
อีกทั้ง SMEsบางกลุ่มต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว
เช่น ธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ที่มีการจ้างงานสูงกว่า 10
ล้านคน ต้องใช้เวลา 4-5 ปี
กว่านักท่องเที่ยวจะกลับเข้ามา
ทั้งนี้ สมาคมธนาคารไทยร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมาตรการช่วยเหลือเชิงรุก ภายใต้แนวคิด 3 เสาหลัก คือ ปรับปรุง (Restructure ) ฟื้นฟู (Revive)และเปลี่ยนแปลง (Reform) ซึ่งเป็นมาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มเหมาะสมกับลูกหนี้แต่ละราย ได้แก่
มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) วงเงิน 250,000 ล้านบาทมีเกณฑ์ช่วยเหลือที่เปิดกว้างและยืดหยุ่นกว่าเดิม มีกลไกการค้ำประกันสินเชื่อผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) รวมถึงยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตั้งแต่เปิดให้มีการขอสินเชื่อเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมามีการอนุมัติไปแล้ว 11,542 ล้านบาทจากsmes 5,465 ราย (ข้อมูลณ17 พค.64)
มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์ชำระหนี้และให้สิทธิลูกหนี้ซื้อคืน
(โครงการพักทรัพย์ พักหนี้) วงเงิน 100,000 ล้านบาท
เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรง
แต่ยังมีศักยภาพและไม่สามารถฟื้นตัวได้ในเวลาอันสั้น
สามารถหยุดการดำเนินกิจการได้ชั่วคราวด้วยการโอนทรัพย์เป็นหลักประกันกับธนาคารเพื่อหยุดหรือลดภาระหนี้
และรอเศรษฐกิจฟื้นตัวโดยไม่สูญเสียกิจการไป ภายใต้เงื่อนไขสัญญาที่กำหนด เช่น
ลูกหนี้หรือเจ้าของทรัพย์ มีสิทธิซื้อทรัพย์ได้ ภายใน 3-5 ปี
สามารถเช่ากลับเพื่อไปประกอบธุรกิจต่อได้ เป็นต้น
“มาตรการนี้จะทำให้ผู้ประกอบธุรกิจมีเวลาหายใจ
มีเวลาประคองตัวมากขึ้น เรามีเครื่องมือให้ท่านตัวเบา ไม่ต้องกังวลภาระทางการเงิน
เพื่อใช้ทรัพยากรมุ่งเน้นการประคองตัว
และหารูปแบบธุรกิจที่จะตอบโจทย์เพื่อให้กลับมาแข็งแรงได้อย่างยั่งยืน”
อย่างไรก็ตาม ผยงกล่าวว่า ทั้งนี้ 2
มาตรการจะช่วยไม่ให้เกิดการบอบช้ำทางเศรษฐกิจอีก
ถ้าไม่มีกลไกเหล่านี้จะเกิดการบอบช้ำเพิ่มเติมธนาคารก็จะอ่อนแอ ความมั่นใจของผู้ฝากเงิน
รวมไปถึงนักลงทุนที่กำลังจะเข้ามาในประเทศ จะมีคำถาม
ขณะที่การจ้างงานก็ไม่เกิดหรือมีน้อยลง คนตกงานก็จะมีมากขึ้น
“เราอยากลด
bleeding ของระบบ
ประคองความบอบช้ำเพื่อให้เดินผ่านไปได้ เมื่อผู้ประกอบธุรกิจ มีความพร้อมมากขึ้น
ภาระน้อยลง พอถึงเวลาที่สิ่งแวดล้อมปัจจัยมหภาคต่างๆเอื้อ วัคซีนมา
ก็สร้างความมั่นใจเกิดกิจกรรมปกติ เขาก็สามารถกลับมาแข็งแรงได้อย่างรวดเร็ว”
โดย ณ วันที่ 24พฤษภาคม 2564
ยอดการให้ความช่วยเหลือจากมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูฯ มีทั้งสิ้น 16,060
ล้านบาท ครอบคลุมลูกหนี้ 6,697ราย
คิดเป็นยอดสินเชื่อเฉลี่ย 2.1
ล้านบาทต่อราย โดยร้อยละ 63
กระจายลงไปยัง SMEs ขนาดเล็ก
ขณะที่โครงการพักทรัพย์พักหนี้ มีมูลค่าทรัพย์สินที่ได้รับโอน 910ล้านบาท
จำนวนผู้ได้รับความช่วยเหลือ 4ราย
สำหรับลูกหนี้รายย่อย ที่มีสัญญาณความยากลำบากในการชำระหนี้ อีกทั้งมีลูกหนี้ใหม่ที่ต้องการรับความช่วยเหลือจำนวนมาก ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมมือกับผู้ให้บริการทางการเงิน ผ่านสมาคมธนาคารไทย และชมรมต่างๆ 8 แห่ง ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 3 มุ่งเน้นช่วยลดภาระหนี้ในระยะยาว มีความยืดหยุ่น และมีวิธีปฏิบัติที่ชัดเจน ครอบคลุมสินเชื่อทั้ง
1. บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล เน้นขยายเวลาการชำระ จ่ายดอกเบี้ยลดลง
2. สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เพิ่มทางเลือกการพักชำระค่างวดและมีทางเลือกในการคืนรถ
3. สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ที่เน้นการควบคุมอัตราดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา (Effective Interest Rate: EIR) ไม่ให้สูงขึ้นกว่าอัตราดอกเบี้ยเดิมและปรับวิธีการคิดดอกเบี้ยช่วงพักค่างวดที่พักชำระหนี้ และ
4. สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อที่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน
โดยเพิ่มการพักเงินต้นและจ่ายดอกเบี้ยบางส่วนเป็นทางเลือก
และให้ลูกหนี้สามารถทยอยชำระคืนเป็นขั้นบันได (step up) ตามความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้
“การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดคิด ไม่ใช่เป็นความผิดของใคร ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน รอบนี้เราทำงานกันอย่างหนักและเข้มข้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการได้ตรงจุดและช่วยเหลือผู้ประกอบการได้จริงและทั่วถึง”
ธุรกิจไทยต้องมุ่งสู่
Green
Economy
ผยงเผยต่อว่า
แม้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่ท้าทาย
แต่ธุรกิจไทยต้องไม่ละสายตาจาก Megatrend
ของโลก โดยเฉพาะ “การมุ่งสู่
Green Economy” เนื่องจากมหาอำนาจของโลก
เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และจีน
ต่างหันมาสนับสนุนและจัดสรรเม็ดเงินลงทุนในธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีสูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เช่น รถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาด
รวมทั้งมีการกำหนดมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของโลกมาบังคับใช้อย่างจริงจัง
“ยกตัวอย่าง ในอีก 2 ปีข้างหน้ายุโรปมีแผนจะเก็บภาษีสินค้านำเข้า โดยคำนึงถึงระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ที่แตกต่างกันระหว่างยุโรปกับแหล่งผลิตสินค้าที่อยู่นอกยุโรป ที่อาจมีมาตรฐานและเทคโนโลยีต่ำกว่า”
ทั้งนี้ Green Economy มีนัยต่อประเทศไทยใน 2 มิติ
มิติแรกคือความท้าทายที่เพิ่มขึ้น
เพราะอาจก่อให้เกิดกำแพงการค้าหรือกฎกติกาในรูปแบบใหม่ ซึ่งภาครัฐและภาคเอกชน
โดยเฉพาะผู้ส่งออก ต้องตื่นตัวและปรับกลยุทธ์ให้สอดรับตั้งแต่แรก เช่น
ต้องรู้และลด Carbon
Footprint ของตนเอง เพื่อไม่ให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก
มิติที่ 2 คือ มิติของโอกาสใหม่ๆ การมุ่งสู่ Green Economy หรือ
BCG Economy เป็นแรงผลักดันให้เกิดการลงทุนใหม่ๆ
และการ upgrade ด้านเทคโนโลยีของภาคธุรกิจที่หยุดชะงักมานานหลายปีซึ่งภาครัฐมีเป้าหมายให้
BCG Economy ขับเคลื่อน
GDP ไทยให้เพิ่มขึ้น
1
ล้านล้านบาท ใน 6
ปีข้างหน้า
กรุงไทยดูแลธุรกิจหลัก
แสวงหาธุรกิจใหม่
นอกจากบทบาทในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทยที่ต้องเข้าไปช่วยผลักดันมาตรการเพื่อช่วยเหลือภาคส่วนต่างๆแล้ว ผยงในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ยังต้องมีโจทย์ความท้าทายในการที่จะขับเคลื่อนองค์กรขนาดใหญ่ไปพร้อมกับการช่วยเหลือดูแลลูกค้าให้ก้าวข้ามผ่านวิฤกตไปด้วยกัน
ผยงเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจนั้น ธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนธุรกิจด้วย 2 Banking-Model เพื่อต่อยอดการเติบโตของธนาคารผ่าน 2 รูปแบบธุรกิจสำคัญคือ แบบเรือบรรทุกเครื่องบินหรือ Carrierที่มุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินงานของหน่วยงานหลักเพื่อปกป้องฐานธุรกิจเดิมและลูกค้าของธนาคาร อีกรูปแบบ คือ แบบเรือเร็วหรือSpeed Boat ที่มุ่งทำธุรกิจในรูปแบบของAgile เพื่อทดลองและเสาะแสวงหาธุรกิจใหม่ พร้อมทั้งต่อยอดธุรกิจจากคู่ค้าของลูกค้า รวมทั้งการให้ความร่วมมือกับโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล ผ่านการทำงานแบบ Fail Fast Learn Fast อาศัยความคล่องแคล่ว รวดเร็ว และวิเคราะห์ข้อมูลบน Digital Platform / Open Bankingภายใต้แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว ธนาคารจะดำเนินธุรกิจโดยยึดตามแผนปฏิบัติการ 5 เสาหลักสำคัญ (5 Execution Pillars) เพื่อรับมือกับปัจจัยความไม่แน่นอนและความท้าทายของปัจจัยต่างๆ ในปีนี้ได้แก่
1. การประคองธุรกิจหลักซึ่งเป็นธุรกิจเดิมให้เติบโตต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพโดยต้องดูแล
NPL ควบคู่ไปกับการประคองลูกหนี้รวมทั้งเรื่องการขายข้ามผลิตภัณฑ์
(Cross Selling)
2. สร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ภายใต้ยุทธศาสตร์คู่ขนานระหว่างเรือบรรทุกเครื่องบิน
และเรือเร็ว เช่น การเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการเป็นการขาย การจัดตั้ง “อินฟินิธัส
บาย กรุงไทย” เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่
เป็นต้น
3. ลดการใช้กระดาษให้น้อยที่สุด
(Paperless)ด้วยการนำระบบ
RPA หรือ
Robotic Process
AutomationและการนำAI เข้ามาใช้ในกระบวนการทำงานภายในมากขึ้น
4. ต่อยอดธุรกิจจากคู่ค้าของลูกค้า
ด้วยกลยุทธ์ X2G2Xที่ยึดภาครัฐเป็นศูนย์กลาง
และต่อเชื่อมด้วยคู่ค้าธุรกิจและลูกค้ารายย่อย
ที่เชื่อมโยงกันด้วยประสิทธิภาพของเทคโนโลยี (Digital Supply Chain)
5. สนับสนุนการดำเนินกิจกรรมหรือโครงการต่างๆ
เพื่อดูแลคนไทย เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยนโยบาย กรุงไทยเคียงข้างไทยสู่ความยั่งยืน
“ธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับ
5 Ecosystemsคือกลุ่มหน่วยงานภาครัฐ
กลุ่มการชำระเงิน กลุ่มการรักษาพยาบาลและสุขภาพ กลุ่มสถาบันการศึกษาและนักเรียน
และกลุ่มระบบขนส่งมวลชน
ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของธนาคารโดยมุ่งเน้นการคิดค้นนวัตกรรมที่เชื่อมโยง 5 Ecosystems“
นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ผลักดันแพลตฟอร์มที่เป็นระบบเปิดของธนาคารโดยร่วมพัฒนากับภาครัฐ โดยเฉพาะแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และ “ถุงเงิน” ซึ่งได้มีการใช้อย่างแพร่หลายในโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการคนละครึ่ง ซึ่งช่วยให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงการใช้บริการทางการเงินผ่านระบบดิจิทัล ได้ง่ายและสะดวก ธนาคารยังได้พัฒนา Digital Platform เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการเข้าถึงมาตรการเยียวยาต่างๆ ของภาครัฐ เช่น โครงการ “เราชนะ” โครงการ “ม.33 เรารักกัน” โครงการ “คนละครึ่ง” ซึ่งช่วยให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงมาตรการการช่วยเหลือของรัฐอย่างทั่วถึง โปร่งใส และตรวจสอบได้อีกทั้งยังช่วยให้ประชาชนได้เข้าถึงและเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีทางการเงินโดยการใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการทำให้ประเทศก้าวสู่สังคมไร้เงินสด สนับสนุนนโยบาย Thailand 4.0
“เชื่อว่า การวางรากฐานโครงสร้างทางการเงินผ่านระบบดิจิทัลครบวงจร ตลอดจนเริ่มต้นสู่การเป็น Open Banking ผ่านการใช้แพลตฟอร์มเป๋าตัง ซึ่งเป็นระบบเปิด จะทำให้ประชาชนสามารถใช้บริการทางการเงินโดยไม่ต้องมีบัญชีธนาคารและเข้าถึงประชาชนมากขึ้น”
ติดตามคอลัมน์ Exclusive Interview ได้ในวารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนมิถุนายน 2564 ฉบับที่ 470 บนแผงหนังสือชั้นนำทั้่วประเทศและในรูปแบบดิจิทัล : https://goo.gl/U6OnIi