WEALTH • GOLD

ราคาทองคำร่วงแตะระดับต่ำสุดที่ 1,614 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ในช่วงปลายเดือน ก.ย. ค่าเงินปอนด์ที่ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.0327 ดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานะการคลังของรัฐบาลอังกฤษ หลังจากรัฐบาลอังกฤษเปิดเผยมาตรการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ นอกจากนี้ ดัชนีดอลลาร์ได้พุ่งขึ้นทดสอบระดับสูงสุดในรอบ 10 ปีครั้งใหม่ โดยได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวต่อไปเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ส่งผลให้ราคาทองคำร่วงลงไปทดสอบระดับต่ำสุดของปีนี้และเป็นระดับในรอบ 2 ปีครึ่งบริเวณ 1,614 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในวันที่ 28 ก.ย.

อย่างไรก็ดี ในช่วงต้นเดือน ต.ค. ราคาทองคำได้เริ่มทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อเก็งกำไรในตลาดทองคำเนื่องจากราคาทองคำเข้าสู่ภาวะขายมากเกินไป (Oversold) นอกจากนี้ ความปั่นป่วนวุ่นวายในตลาดการเงินทั่วโลกหลังจากรัฐบาลอังกฤษเปิดเผยมาตรการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ ได้กระตุ้นให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ออกมาตรการรับซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลอังกฤษ “จำนวนมากเท่าที่มีความจำเป็น” เพื่อสร้างเสถียรภาพในตลาดการเงิน

ในท้ายที่สุด รัฐบาลอังกฤษได้ประกาศ “ยกเลิก” การปรับลดภาษีในนโยบายการคลังฉบับใหม่ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนทั่วโลกกลับมาร่วงลงอย่างรุนแรง ส่วนเงินปอนด์ทะยานขึ้นจากระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์จนส่งผลเชิงบวกต่อตลาดทองคำ

ประกอบกับทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ยังได้รับแรงหนุนเพิ่มจากความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตก หลังจากรัสเซีย ประกาศผนวกดินแดน 4 แคว้นของยูเครน ได้แก่ โดเนตสก์ ลูฮันสก์ เคอร์ซอน และซาปอริซเซีย เข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียอย่างเป็นทางการ ปัจจัยที่กล่าวมาหลักดันให้ราคาทองคำทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,729.14 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในระหว่างการซื้อขายของวันที่ 4 ต.ค.

แต่การปรับตัวขึ้นของทองคำถูกกดดันอีกครั้ง จากการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาสูงกว่าคาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือน ก.ย. ที่เพิ่มขึ้น 263,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 250,000 ตำแหน่ง แต่ต่ำกว่าระดับ 315,000 ตำแหน่งในเดือน ส.ค. ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 3.5% จากระดับ 3.7% ในเดือน ส.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 3.7% สะท้อนว่าตลาดแรงงานสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง

ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพิ่มขึ้น 8.2% ในเดือน ก.ย. เมื่อเทียบรายปี โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 8.1% เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือน ก.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.3% ดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 6.6% ในเดือน ก.ย. เมื่อเทียบรายปี โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.5% เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI พื้นฐานปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือน ก.ย.

ซึ่งตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯยังคงอยู่ในระดับสูง นั่นทำให้นักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่ยังคงสูงกว่าเป้าหมายของเฟดถึง 3 เท่า สะท้อนจาก Fed Funds Futures ที่ปรับตัวรับโอกาสเกือบ 100% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 75 bps ในเดือน พ.ย. บวกรวมกับความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ที่ระบุชัดว่า เฟดจะยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปจนกว่าจะมั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อปรับตัวลง

อีกทั้งยังไม่รีบร้อนในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยก่อนเวลาอันควร สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่านโยบายการเงินของสหรัฐฯยังคงตึงตัวต่อไปอีกสักระยะ ซึ่งเป็นปัจจัยผลักดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปีเคลื่อนไหวเหนือ 4% ต่อเนื่อง จนกดดันทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำลดลงราว -6.97 ในเดือน ต.ค. แม้ต้นเดือนจะมีการถือครองทองคำเพิ่มอยู่บ้างแต่ภาพรวมยังคงเป็นกระแสเงินทุนไหลออก ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันทองคำเพิ่มเติม

 

สำหรับเดือนพฤศจิกายน แนะนำติดตาม

       - การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ในวันที่ 1-2 พ.ย.2022 แม้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ 12 เขต หรือ Beige Book ในวันที่ 19 ต.ค.2022 ที่ผ่านมาสะท้อนภาวะกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯขยายตัวเล็กน้อยในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้กิจกรรมในบางเขตทรงตัว และบางเขตชะลอตัวลง

      นอกจากนี้ รายงานยังสะท้อนให้เห็นว่า ภาคเอกชนของสหรัฐมีมุมมองที่เป็นลบมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ โดยบริษัทเอกชนมีมุมมองที่เป็นลบมากขึ้น ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่อ่อนแรงลง แต่เจ้าหน้าที่ของเฟดได้ส่งสัญญาณในช่วงเดือน ก.ย.ว่า พวกเขาจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึงระดับ 4.50% หรือ 4.75% ภายในปี 2023 สอดคล้องกับ สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า นายนีล คัชคารี่ ประธานเฟด สาขามินนิอาโปลิส กล่าวว่า เฟดไม่สามารถหยุดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดชั่วคราวได้ เขาสนับสนุนอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึงระดับ 4.50% - 4.75% หากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงเร่งเพิ่มขึ้น

       มุมมองดังกล่าว กระตุ้นนักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในเดือน พ.ย. ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% จำนวน 5 ครั้งติดต่อกัน หลังจากปรับขึ้น 0.75% ในเดือน มิ.ย., ก.ค. และ ก.ย. และ มีโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในเดือน ธ.ค. เป็นจำนวน 6 ครั้งติดต่อกัน


       - การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 8 พ.ย. 2022 นักลงทุนจับตา ว่าพรรคเดโมแครต ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ จะสามารถครอบครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ไว้ตามเดิมได้หรือไม่ ซึ่งปัจจุบัน พรรคเดโมแครตของเขาครองเสียงข้างมากทั้งที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยมีที่นั่งวุฒิสภาคะแนนเสียงปริ่มน้ำที่ 50 เสียงพอดีในวุฒิสภา และมีเสียงที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร เหนือกว่ารีพับลิกันแค่ 9 ที่นั่ง ขณะที่ ปธน.ไบเดน ดำรงตำแหน่งมาครึ่งเทอม (2 จาก 4 ปี) เพราะหากพรรคเดโมแครต อาจสูญเสียงที่นั่งในวุฒิสภาส่วนมากในศึกเลือกตั้งครั้งนี้

       เศรษฐกิจสหรัฐฯภาวะถดถอยที่ชัดเจนมากขึ้น หลังจากช่วงที่ผ่านเศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลง เนืองจาก ค่าครองชีพ-อัตราเงินเฟ้อปรับตัวพุ่งสูงขึ้น ด้วยเหตุผลดังกล่าว นายมิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน กล่าวว่า พรรคมีโอกาสเพียง 50-50 ที่จะกลับมาควบคุมเสียงข้างมากในวุฒิสภา ประกอบกับ ในอดีตที่ผ่านมาพรรคของประธานาธิบดีมักจะเสียที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งกลางเทอม เพราะโดยธรรมชาติแล้วชาวอเมริกันชอบที่จะเลือกพรรคตรงข้ามไปคานอำนาจ

      ดังนั้น ผลการเลือกตั้งกลางเทอม จะส่งผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางสกุลเงินดอลลาร์ เพราะหาก พรรครีพับลิกันกลับมาได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งกลางเทอมจนพรรครีพับลิกัน ครองเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภาอาจนำไปสู่การยับยั้งร่างกฎหมายต่างๆ ที่เสนอโดยพรรคเดโมแครต ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐที่เปราะบางอยู่แล้ว แนวโน้มสกุลเงินดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่าลง ซึ่งจะส่งผลบวกต่อราคาทองคำ

       - ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ารัสเซียมีแนวโน้มที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ในการทำสงครามกับยูเครน หลังจากที่กองทัพรัสเซียไม่ประสบความคืบหน้าในการสู้รบซึ่งใช้เวลานานเกือบ 8 เดือน นับตั้งแต่ที่รัสเซียเริ่มปฏิบัติการทางทหารบุกโจมตียูเครนในวันที่ 24 ก.พ. 2022 ซึ่ง ทำเนียบเครมลิน ยืนยันว่า แคว้นทั้ง 4 ได้แก่ แคว้นโดเนตสก์, ลูฮันสก์, เคอร์ซอน และซาปอริซเซีย ซึ่งได้ผนวกเข้ากับรัสเซียจะได้รับการปกป้อง ในระดับเดียวกับดินแดนอื่นๆ ในรัสเซีย โดย ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ระบุว่า รัสเซียพร้อมที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์หากจำเป็นเพื่อปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนของรัสเซีย

      นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์รายงานโดยอ้างอิงจากข้อมูลรัฐบาลอิหร่านว่า รัฐบาลอิหร่านได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปยังรัสเซียเพื่อสรุปเงื่อนไขสำหรับการจัดส่งอาวุธเพิ่มเติม รวมถึงขีปนาวุธแบบพื้นสู่พื้น ซึ่งหากข้อตกลงการจัดส่งขีปนาวุธครั้งนี้มีผลบังคับใช้ ก็จะเป็นการส่งมอบขีปนาวุธให้กับรัสเซียเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่รัสเซียเปิดฉากการทำสงครามในยูเครนอย่างเต็มรูปแบบ

       ประเด็นดังกล่าว ส่งผลให้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ได้จัดการประชุมแบบปิดซึ่งสหรัฐฯ, อังกฤษ และฝรั่งเศส ได้หยิบยกประเด็นที่ว่า อิหร่านส่งอาวุธให้กับรัสเซีย มาหารือกัน ทั้งนี้ การแสดงท่าทีคุกคามทางนิวเคลียร์ อยากเปิดเผย บ่งชี้ว่า รัสเซีย กำลังยกระดับความรุนแรงในการทำสงครามเพิ่มขึ้น และอาจกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ในที่สุด หากความตึงเครียดระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น จะกระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย อีกทาง

 

คาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำ ในเดือนตุลาคม

ในส่วนของมุมมองด้านปัจจัยทางเทคนิค แนวโน้มราคาทองคำ ในเดือนกันยายน สร้างระดับต่ำสุดครั้งใหม่ในรายเดือน และ รายปี ซึ่งลงมาแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี บริเวณ บริเวณ 1,614 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ ในเดือนตุลาคมที่ผ่าน ราคาทองคำไม่มีการทำระดับต่ำสุดใหม่ และระดับสูงสุดใหม่จากเดือนก่อนหน้า แต่การเคลื่อนไหวของราคาทองคำส่วนใหญ่ทรงตัวอยู่ใกล้กรอบด่านล่าง สะท้อนให้เห็นถึงแรงซื้อในระดับจำกัด ขณะที่แรงขายยังคงแข็งแกร่ง

ทั้งนี้ ระยะสั้นราคาแกว่งตัวออกด้านข้างแบบพยายามทรงตัวรักษาระดับไว้ หากราคาสามารถเคลื่อนไหวเหนือแนวรับโซน 1,614 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ระดับต่ำสุดของปี 2022) อาจเห็นการฟื้นตัวขึ้นของราคาอีกครั้ง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มากอาจเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาไม่หลุดแนวรับดังกล่าว สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อย หรือมีการถือครองทองคำอยู่แล้วแนะนำให้รอดูบริเวณแนวรับ 1,566 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ระดับต่ำสุดเดือน เม.ย. 2020)

หากไม่หลุดนักลงทุนระยะกลาง ระยะยาวสามารถเข้าสะสมทองคำเพิ่มเติม และเมื่อราคาปรับตัวขึ้น แนะนำแบ่งทองคำออกขายทำกำไร เมื่อราคาปรับตัวขึ้นเข้าใกล้แนวต้านบริเวณ 1,729-1,735 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพื่อลดความเสี่ยง โดยหากราคาผ่านได้สามารถชะลอการขายไปที่แนวต้านถัดไป โซน 1,807 ดอลลาร์ต่อออนซ์