จับสัญญาณหุ้นกู้อสังหาฯ 2.7 แสนล้าน ทริส คาดปี 64 แนวราบฟื้น
ทริสเรทติ้ง บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ
เปิดเผยสถานะหุ้นกู้ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ว่า ณ สิ้นเดือนมกราคม 2564
ทริส มีการจัดอันดับเครดิต
หรือเรทติ้งให้แก่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยทั้งหมด 23
ราย โดยมีบริษัทที่มีอันดับเครดิตที่ระดับ “A” จำนวน 6 ราย ที่ระดับ “BBB” จำนวน 11 ราย และที่ระดับ “BB” จำนวน
6
ราย
สำหรับปี 2563 ทริส
มีการปรับลดอันดับเครดิตผู้ประกอบการในกลุ่มนี้จำนวน 5
ราย ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Negative”
หรือ “ลบ” จำนวน 3 ราย และปรับเพิ่มแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Stable” หรือ
“คงที่” จาก
“Negative” หรือ
“ลบ” จำนวน
1
ราย
ทริส รายงานว่า ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563
ผู้ประกอบการทั้งหมดมีตราสารหนี้คงเหลือประมาณ 2.7 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 63%
ของหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยทั้งหมด โดยตราสารหนี้มูลค่าประมาณ 9.55
หมื่นล้านบาทจะครบกำหนดชำระภายในปี 2564 นี้
ดอกเบี้ยต่ำ-วัคซีนโควิด
หนุนดีมานด์ที่อยู่อาศัยปี 64โตเล็กน้อย
สำหรับทิศทางอุตสาหกรรมพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อขายในปี
2564
ทริส คาดว่าความต้องการ หรือดีมานด์ จะเติบโตเพียงเล็กน้อยจากปีก่อนหน้าโดยมีปัจจัยบวก
คือ อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำและการมีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โรคโควิด-19)
อย่างไรก็ดี
สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นประกอบกับสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(เอ็นพีแอล) ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อความต้องการที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมนั้นได้รับผลกระทบอย่างมากจากการบังคับใช้มาตรการเกี่ยวกับอัตราส่วนเงินกู้ต่อมูลค่าที่อยู่อาศัย
(Loan to Value - LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) ในปี 2562
และการระบาดของโควิด 19
ในปี 2563
ทริส รายงานว่า มูลค่ายอดขายคอนโดมิเนียมสุทธิ
(สุทธิจากยอดยกเลิกและยอดปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคาร) ของผู้ประกอบการ 23
รายที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตจากทริสลดลงจากจุดสูงสุดในปี 2561
ที่ประมาณ 2
แสนล้านบาท มาอยู่ที่ประมาณ 1.22
แสนล้านบาท ในปี 2562
และ 6.7
หมื่นล้านบาท ในปี 2563
คอนโดฯขายต่างชาติฟื้นช้า
อสังหาฯแนวราบมีสัญญาณดี
สำหรับในปี 2564 นั้น การระบาดระลอกใหม่ของโควิด 19ทริส
คาดว่าจะส่งผลให้การฟื้นตัวของคอนโดมิเนียมล่าช้าออกไปอีกเนื่องจากนักลงทุนและผู้ซื้อชาวต่างชาติน่าจะยังไม่กลับมาก่อนปลายปีนี้
ในทางตรงกันข้าม
ความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ค่อนข้างชัดเจน
โดยข้อมูลที่รวบรวมจากผู้ประกอบการทั้ง 23
รายพบว่า ยอดขายที่อยู่อาศัยแนวราบปรับเพิ่มขึ้น 15-20% ในปี 2563
เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด
การเติบโตของยอดขายที่อยู่อาศัยแนวราบได้ช่วยชดเชยการหดตัวของยอดขายคอนโดมิเนียมและส่งผลให้ยอดขายที่อยู่อาศัยสุทธิทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านแนวราบของผู้ประกอบการทั้ง
23
รายลดลงเพียง 11%
เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม จากการมียอดขายที่ค่อนข้างสูงในปี
2560-2561
ส่งผลให้ยอดโอนที่อยู่อาศัยไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนักจากปีก่อนหน้า
โดยยอดโอนที่อยู่อาศัยในปี 2563
อยู่ที่ 3.17
แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 10%
เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทั้งนี้
เนื่องจากผู้ประกอบการหลายรายมีการใช้กลยุทธ์ด้านราคาเพื่อกระตุ้นยอดขายและยอดโอนในโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างแล้วเสร็จ
ซึ่งทำให้คาดว่าอัตรากำไรโดยรวมในปี 2563
ของผู้ประกอบการที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตจะลดลง 3-4%
ขณะที่ภาระหนี้ของผู้ประกอบการไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนักแม้ว่าจะมีการเลื่อนการเปิดโครงการใหม่ออกไปหลายโครงการก็ตาม
ดังนั้น ทริสจึงคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี
ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (อีบิทดา)
ของผู้ประกอบการเฉลี่ยน่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 7-8
เท่าในปี 2563
จากที่ระดับ 4-5
เท่าในอดีต
ทริส คาดที่อยู่อาศัยฟื้น
เทียบเท่าปี 62 ในปลายปี 65
สำหรับแนวโน้มในอนาคต ทริส
คาดว่าความต้องการที่อยู่อาศัยจะค่อยๆ
ฟื้นตัวและความรุนแรงของการแข่งขันด้านราคาน่าจะเบาบางลง
ผลการดำเนินงานของผู้ประกอบการดังกล่าวน่าจะค่อยๆ
ปรับตัวดีขึ้นและกลับไปอยู่เทียบเท่ากับระดับในปี 2562 ได้ภายในปลายปี 2565
อย่างไรก็ตาม
ผลการดำเนินงานของผู้ประกอบการเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปโดยขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับสินค้าให้เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
ทั้งนี้
ผู้ประกอบการที่มีสินค้าที่หลากหลายและมีส่วนแบ่งทั้งในตลาดแนวราบและคอนโดมิเนียมน่าจะมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นกว่าผู้ประกอบการทั่วไป
ดร.ชัยยุทธ ชุณหะชา
ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (ANAN) กล่าวว่า
เดือนมกราคมที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้มูลค่ารวม 2,328
ล้านบาท เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการชำระหนี้และขยายธุรกิจ ส่งผลให้ ณ
สิ้นเดือนมกราคม 2564
บริษัทยังคงรักษาเงินสดรวมโครงการร่วมทุนกว่า 13,000 ล้านบาท
นอกจากนี้
บริษัทยังได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งและต่อเนื่องจากสถาบันการเงินชั้นนำ
และมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายสามารถเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์
และมีเป้าหมายในการรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนไว้ภายใต้เป้าหมายระยะยาวที่
1:1
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในการชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระคืนในปี 2564 จำนวน 2,000 ล้านบาท และเพื่อลงทุนซื้อที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการบ้านพักอาศัยที่บริษัทมีแผนใช้งบลงทุนประมาณ 4,000 ล้านบาทในปี 2564 โดยที่บริษัทยังคงสามารถรักษาสัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity Ratio) ในสัดส่วนไม่เกิน 1:1 เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับบริษัท