สูตรยา 3 ชั้น ป้องกันความจน
จากผลสำรวจข้อมูลจากผลสำรวจ Household Financial Survey ของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ครัวเรือนเป็นหนี้เกิดรายรับไม่พอกับรายจ่าย และขาดวินัยทางการเงิน เช่น ไม่ออมสม่ำเสมอ
“ทำงานมาตั้งหลายปีแต่ไม่มีเงินก้อนเก็บไว้เลย”
“เกิดเหตุฉุกเฉินต้องใช้เงินทีไรต้องวิ่งไปกู้เขาทุกครั้ง”
ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นกับคนจำนวนไม่น้อย
เป็นผลมาจากการที่ภูมิคุ้มกันทางการเงินบกพร่อง ไม่มีการออมเงิน
และจัดการเงินของตนเองอย่างเป็นระบบ ซึ่งปัญหาทางการเงินเล็กๆ
อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ในอนาคต
เหมือนกับการเจ็บป่วยที่หากไม่รีบรักษาหรือป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
ก็อาจลุกลามเป็นโรคที่ร้ายแรงขึ้นได้
ดังนั้นมาเริ่มต้นออมเงินและจัดการเงินของเราอย่างรอบคอบเพื่อเป็นภูมิคุ้มกันทางการเงินกันเถอะ
1. ออมเงินทันทีเมื่อมีรายรับ
1 ใน 4 ถือเป็นกฎเหล็กของการออม หากมีรายรับจากเงินเดือน รายได้ดอกเบี้ย กำไร หรือรายได้พิเศษอื่นๆ ให้แบ่งอย่างน้อย 1 ใน 4 ส่วน เพื่อออมทันทีก่อนนำเงินไปใช้จ่าย ซึ่งสามารถเก็บออมได้หลายวิธี เช่น
- กระปุกออมสิน เหมาะสำหรับการเก็บเล็กผสมน้อย หยอดอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเต็มกระปุกก็นำไปฝากธนาคาร
- ธนาคาร นอกจากจะปลอดภัยจากการโจรกรรมแล้ว ยังได้เงินเพิ่มจากดอกเบี้ยเงินฝากอีกด้วย
- ซื้อสลากออมทรัพย์ เป็นรูปแบบหนึ่งของการออมเงิน โดยหากครบกำหนดการฝากก็จะได้เงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ย
นอกจากนี้ยังมีโอกาสลุ้นรางวัลทุกเดือนอีกด้วย
2. ตั้งเป้าหมายการออม
หากเราตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและแน่นอนว่าเราจะออมเพื่ออะไร
ด้วยจำนวนเงินเท่าไร ในระยะเวลานานแค่ไหน จะทำให้เราออมเงินได้อย่างที่ต้องการ
เป้าหมายการออมที่ควรตั้งไว้เป็นอันดับต้นๆ ได้แก่
- การออมเผื่อฉุกเฉิน ยามคับขัน
พบสิ่งที่ไม่คาดฝันในชีวิต เช่น เจ็บป่วยหรือตกงาน เงินออมส่วนนี้จะช่วยเราได้
โดยควรออมไว้อย่างน้อย 6 เท่าของรายจ่ายจำเป็น
- การออมไว้ใช้หลังเกษียณ
ถ้าเรายิ่งวางแผนออมเร็วเท่าไร การบรรลุเป้าหมายจะง่ายขึ้น
และชีวิตหลังเกษียณของเราจะยิ่งสุขสบายมากขึ้นเท่านั้น
3. ลงทุนเพื่อให้งอกเงย
นอกจากการฝากเงินกับธนาคารแล้ว
การลงทุนในรูปแบบต่างๆ ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการทำให้เงินงอกเงย แต่อย่าลืมว่า
การลงทุนมีความเสี่ยง อย่างที่เคยได้ยินกันบ่อยๆ
ดังนั้นจึงควรศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน
โดยตัวอย่างการลงทุนมีดังนี้
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คือ
กองทุนที่นายจ้างและลูกจ้างจัดตั้งขึ้น
มีเป้าหมายสำหรับให้ลูกจ้างมีเงินใช้จ่ายเมื่อเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือออกจากงาน
โดยเงินกองทุนมาจาก 2 ส่วน คือ เงินสะสมจากลูกจ้าง
สะสมได้ไม่ต่ำกว่า 2% แต่ไม่เกิน 15%
ของค่าจ้าง และ เงินสมทบจากนายจ้าง สมทบไม่ต่ำกว่าเงินสะสมของลูกจ้าง แต่ไม่เกิน 15%
ของค่าจ้าง
- กองทุนรวม
เหมาะสำหรับผู้ลงทุนมือใหม่ที่ยังไม่มีประมาบการณ์และความรู้เกี่ยวกับการลงทุนและสามารถลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มากนัก
โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมจะนำเงินไปลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินประเภทต่างๆ
เช่น หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ ตามนโยบายการลงทุนที่ได้ระบุไว้
- พันบัตรรัฐบาล
คือตราสารหนี้ที่กระทรวงการคลังหรือหน่วยงานภาครัฐออกจำหน่ายเพื่อระดมทุนจากประชาชนและสถาบันการเงินในประเทศ
- หุ้น
เป็นหลักทรัพย์ประเภทตราสารทุนที่สามารถลงทุนได้โดยการเข้าซื้อหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
ที่มา: ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ศคง.)