WEALTH • PROPERTY

รู้จัก “Safe Haven” หลุมหลบภัยของนักลงทุน เมื่อเศรษฐกิจโลกเผชิญความผันผวน

ตั้งแต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เริ่มขึ้นเมื่อราวต้นปี 2563 มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจำนวนมาก จนนำไปสู่การออกมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่กระจายวงกว้างของประเทศต่างๆ เศรษฐกิจต้องหยุดชะงักและพยายามกลับมาฟื้นตัว ท่ามกลางเชื้อไวรัสที่กลับมาอีกหลายระลอก จนถึงขณะนี้ที่เกิดสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก เกิดความผันผวนตลาดเงินและตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนจึงเริ่มมองหา “Safe Haven” มากขึ้น 


Safe Haven คืออะไร?

ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน สินทรัพย์ปลอดภัย หรือ Safe Haven นั้นเป็นทางเลือกที่นักลงทุนต่างมองหา โดย ดร.ฐิติมา ชูเชิด ฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย อธิบายไว้ว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินทั่วโลกเริ่มผันผวนไม่มั่นคง นักลงทุนจะปรับการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งแหล่งลงทุน Safe Haven ก็มีหลายรูปแบบ ทั้งหุ้นที่ปลอดภัย เงินสด พันธบัตรรัฐบาล หรือสกุลเงิน ได้แก่ เงินดอลลาร์สหรัฐ เงินเยนญี่ปุ่น เงินสวิสฟรังก์ เป็นต้น 

โดยได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่ Safe Haven ได้รับความสนใจ เช่น จากเหตุการณ์ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐในขณะนั้น ประกาศบนทวิตเตอร์เมื่อวันที่ 5 พ.ค.2562 ว่าสหรัฐจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 25% มูลค่ากว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ และอาจขึ้นภาษีกับสินค้านำเข้าจากจีนที่เหลืออีกราว 3 แสนล้านดอลลาร์ ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความกังวล ดัชนีความเสี่ยงในตลาดการเงินโลก (VIX) พุ่งขึ้น 25% เกิดแรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดหุ้นของประเทศต่างๆ 

ในเหตุการณ์นั้น ไทยถูกมองว่าเป็น Safe Haven จากมุมมองนักลงทุนที่มองว่ามีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดี เนื่องจากดุลบุญชีเดินสะพัดเกินดุลสูง รวมถึงเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ก็สูงเช่นกัน ขณะเดียวกันยังมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ เมกะโปรเจ็กต์อย่าง EEC และปัจจัยบวกอื่นๆ ที่ทำให้เงินบาทสามารถรักษามูลค่าไว้ได้และมีเสถียรภาพ เงินบาทแข็งค่ากว่าค่าเงินสกุลอื่น ช่วงนั้นเงินลงทุนไหลเข้าตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้น 2 เดือนติดต่อกัน


แหล่งลงทุน Safe Haven มีอะไรบ้าง?

หากถามว่าเมื่อเกิดสถานการณ์ความไม่แน่นอน แหล่งลงทุน Safe Haven มีอะไรบ้าง? สินทรัพย์ Safe Haven ที่สามารถนำมาจัดพอร์ตลงทุนได้นั้น ได้แก่

        1. เงินสด โดยเงินสดนั้นถือเป็นแหล่งหลบภัยที่แท้จริง ท่ามกลางสถานการณ์ที่ผันผวน เมื่อนักลงทุนกังวลว่าจะประสบภาวะขาดทุนหากถือทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูง ถึงแม้ว่าเงินสดนั้นจะไม่สร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนและยังมีมูลค่าลดลงตามอัตราเงินเฟ้อ แต่การถือครองเงินสดก็เป็นความลปลอดภัยระหว่างรอนำสินทรัพย์ไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนต่อไปในช่วงที่สถานการณ์ทุกอย่างกลับเข้าที่ 

         2. ทองคำ  หนึ่งในสินทรัพย์ปลอดภัยที่หลายคนนึกถึง โดยเมื่อเกิดภาวะวิกฤติหรือสงคราม ทองคำมักจะได้รับนิยมมากที่สุด ซึ่งเปรียบเสทอนสกุลเงินสากลของโลก สภาพคล่องสูง มีค่าในตัวเอง และเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดกระแสเงินสดในช่วงที่ถือครอง เช่น ในช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอรในปี 2551 ทองคำเป็นเสมือนหลักประกันในช่วงที่สินทรัพย์อื่นเผชิญความเสี่ยงสูง ราคาทองคำสูงขึ้น 4% หรือในช่วงวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรปในปี 2552-2554 นั้น ราคาทองคำพุ่งขึ้นถึง 52% 

       3. พันธบัตรรัฐบาล อีกหนึ่งสินทรัพย์ถือเป็น Safe Haven คือ พันธบัตรรัฐบาล เนื่องจากออกและให้ความเชื่อมั่นโดยรัฐบาล แม้จะมีผลตอบแทนอยู่ในระดับต่ำ แต่มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากนักลงทุนรายย่อยมีโอกาสซื้อได้ยาก และที่สำคัญคือเงินต้นจะได้รับชำระคืนเมื่อครบกำหนดเงื่อนไข 

       4. หุ้นปลอดภัย ในสถานการณ์ความไม่แน่นอน นักลงทุนบางส่วนอาจมองหาหุ้นปลอดภัยที่มีความเสี่ยงต่ำ พื้นฐานแข็งแกร่ง หรือหุ้นปันผลที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ มีการจ่ายเงินปันผลติดต่อกันหลายปี 

       5. สกุลเงิน และสุดท้ายคือ สกุลเงินบางสกุลเงิน โดยเฉพาะสกุลเงินหลักของโลก เช่น เงินดอลลาร์สหรัฐที่นิยมใช้เป็นสื่อกลางทางการค้าการลงทุนระหว่างประเทศและเป็นเงินสกุลหลักในทุนสำรองของประเทศต่างๆ แต่หากมีความเสี่ยงเงินทุนต่างชาติจะไหลไปถือครองสินทรัพย์อื่น หรือสกุลเงินอื่น เช่น เงินเยนญี่ปุ่น เงินสวิสฟรังก์ หรือเงินบาทไทย เป็นต้น 


อ้างอิง : https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_17Jun2019.aspx   

https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_09Sep2019.aspx   

https://www.set.or.th/set/education/knowledgedetail.do?contentId=5906&type=article  

https://www.scb.co.th/th/personal-banking/stories/grow-your-wealth/safe-haven.html  

https://www.gcap.co.th/gcapgold/knowledge_detail.php?gcapnews_id=156