พลัสฯ มองครึ่งปีหลังตลาดอสังหาฯ กลุ่มทาวน์โฮมน่าลุ้นผลกระทบไม่หนักมาก
• พลัส
พร็อพเพอร์ตี้ เผยภาพรวมตลาดอสังหาฯ พบตลาดทาวน์โฮมเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ
ได้รับผลกระทบน้อยตอบโจทย์เรียลดีมานด์จากพฤติกรรมผู้ซื้อยุค New Normal ต้องการพื้นที่ในการอยู่อาศัยมากขึ้นราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับคอนโดฯ
หรือบ้านเดี่ยว
• พบระดับราคา
3-5ล้านบาทได้รับการตอบรับดีสุด โดยเฉพาะทำเลที่เข้าถึงรถไฟฟ้าใหม่ส่วนต่อขยาย
การคมนาคมสะดวก
ประชากรกระจายการอยู่อาศัยไปสู่พื้นที่ชานเมืองที่อสังหาริมทรัพย์ยังมีราคาไม่สูง
และทำให้การตัดสินใจซื้อสามารถเป็นไปได้มากขึ้น
• พบโซนส่วนต่อขยายสายสีเขียว-แดง
ยังคงมีการเปิดโครงการและคาดว่าจะมีความต้องการทาวน์โฮมเพิ่มมากขึ้นในบริเวณตอนเหนือของกรุงเทพฯ-
ดอนเมือง, สายไหม, ปทุมธานี,
ลำลูกกาครอบคลุมไปถึงลาดหลุมแก้ว
• เผยมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจำนองให้เหลือ 0.01% ของภาครัฐหากจะส่งผลดีในช่วงโค้งสุดท้ายนี้คือยกเลิกหรือตัดข้อกำหนดด้านเพดานราคากลุ่มที่อยู่อาศัยเกิน 3 ล้านบาทออกไป หรือหากมีมาตรการลดหย่อนภาษี ก็น่าจะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของกลุ่มผู้บริโภคในวงกว้างได้มากขึ้น
นางสาวสุวรรณี มหณรงค์ชัย รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนากลยุทธ์และบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมตอบโจทย์ทุกบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยผลการสำรวจของฝ่ายวิจัยและพัฒนาของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ถึงภาพรวมของตลาดทาวน์โฮม โดยพบว่า แม้ตลาดทาวน์โฮมจะได้รับผลกระทบจากภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวม มียอดขายลดลงเหลือ 12,248 ยูนิต คิดเป็น 39% ของอุปทานที่เสนอขาย จากเดิมที่สัดส่วนยอดขายเคยเกิดขึ้นเฉลี่ยอยู่ราว 40-45% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั้น แต่ยังถือว่าได้รับผลกระทบไม่หนักมากหากเปรียบเทียบกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และตลาดในภาพรวม
หากพิจารณาถึงแนวโน้มการซื้อขายทาวน์โฮมในช่วงที่เหลือของปีนี้ (2563)
คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากยังคงเป็นตลาดที่น่าสนใจ
โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณเขตชานเมืองที่มีโครงการรถไฟฟ้าใหม่ส่วนต่อขยายเข้าไปถึง
ส่วนหนึ่งเพราะทาวน์โฮมเป็นสินค้าทดแทนการซื้อบ้านเดี่ยวที่ราคาขยับขึ้นสูงรวมถึงกลุ่มคนที่ไม่ต้องการพักอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมที่โครงการใหม่ในช่วงหลังมักมีขนาดพื้นที่ใช้สอยลดลงและราคาสูงขึ้นจากปัจจัยด้านที่ดิน
ขณะที่ราคาของทาวน์โฮมบริเวณที่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าไม่เกิน 2 กิโลเมตร
เฉลี่ยอยู่ที่ 4.59 ล้านบาท และที่ตั้งโครงการมักอยู่ในเขตพื้นที่รอยต่อระหว่างเมืองซึ่งใกล้เคียงกับราคาของคอนโดมิเนียม
ทำให้ทั้งในด้านราคาและทำเลระหว่างทาวน์โฮมกับคอนโดมิเนียมแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ทั้งนี้พบว่า ทาวน์โฮมกลุ่มระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เป็นกลุ่มราคาที่ได้รับความสนใจจากผู้บริโภค โดยมีจำนวนทั้งหมด 21,298 ยูนิต(66%) รองมาคือระดับราคา3-5 ล้านบาท มีจำนวน 8,344 ยูนิต (30%) ส่วนโครงการทาวน์โฮมราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ค่อยๆ หายไปจากตลาดเนื่องพัฒนาได้ยากเพราะต้นทุนราคาที่ดินที่สูงขึ้นจึงพบว่าทาวน์โฮมที่เปิดใหม่ส่วนใหญ่จะมีราคาตั้งแต่ 2.5 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนที่ยังสามารถตั้งราคาขายที่ 2 ล้านบาท จะกระจายตัวอยู่ในพื้นที่ชานเมือง หรือพื้นที่รอยต่อรอบนอกเมือง ซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินทางเข้าสู่เมืองมากขึ้น
จากข้อมูลพบว่า ทาวน์โฮมกลุ่มราคา 3-5
ล้านบาทได้รับความสนใจจากผู้ซื้อมากที่สุดด้วยยอดขายสูงถึง45% สูงที่สุดในทุกระดับราคา
เนื่องจากโครงการในระดับราคานี้อยู่ในบริเวณแนวของรถไฟฟ้า
การเดินทางเข้าสู่แหล่งงานในใจกลางเมืองใช้เวลาไม่นาน
พร้อมทั้งมีสิ่งอำนวยความสะดวกในบริเวณที่ตั้งโครงการทั้ง ห้างสรรพสินค้า
สถานศึกษา และโรงพยาบาล ซึ่งเหมาะสำหรับการขยายครอบครัวในอนาคตอย่างไรก็ตามทาวน์โฮมกลุ่มราคา
3-5 ล้านบาทนี้ ก็ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชะลอตัวของเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเช่นกัน
ส่งผลให้ยอดการขายลดลงไป 11% แต่ยังน้อยกว่าตลาดภาพรวมที่ลดลงไปถึง 18%
ซึ่งอัตราดังกล่าวถือว่ายังเป็นการชะลอตัวที่น้อยกว่ากลุ่มคอนโดมิเนียม
และคาดว่าเป็นผลกระทบที่เกิดในระยะสั้นเพราะความต้องการทาวน์โฮมนั้นเติบโตขึ้นอย่างชัดเจนในช่วง
5 ปีที่ผ่านมา ส่วนทาวน์โฮมกลุ่มระดับกลาง-บนหรือราคาสูงกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป
มีอัตราการขายค่อนข้างช้า
เนื่องจากลูกค้าหลักเป็นกลุ่มของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งได้รับผลกระทบหนักจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
สำหรับทำเลที่มีการเติบโตที่ดีคือบริเวณที่มีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย เช่น สายสีแดงและสีเขียวที่จะขยายไปถึงปทุมธานี โดยสายสีเขียวคาดว่าจะเปิดใช้ในปลายปีนี้ ทำให้ในโซนดังกล่าวมีอุปทานใหม่เพิ่มเข้ามา 6,497 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้น 44% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ยังพบทำเลที่กำลังได้รับความนิยมในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบซึ่งรวมทั้งทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยว คือทำเลย่านกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ เนื่องจากเป็นทำเลเปิดใหม่และมีถนนทางเชื่อมการเดินทางเข้าสู่พื้นที่รามคำแหง พระราม 9 อีกทั้งยังสามารถเดินทางไปสู่สนามบินได้สะดวกรวดเร็ว
นอกจากนี้
ยังมีพื้นที่บริเวณบางนาซึ่งได้รับปัจจัยบวกจากโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
(EEC) และบริเวณรามอินทรา
รวมไปถึงทำเลแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายและแนวรอบนอกวงแหวน ซึ่งสามารถเดินทางเข้าสู่เมืองได้สะดวกเนื่องจากมีทางเชื่อมพิเศษเข้าสู่เมือง
“แม้ตลาดทาวน์โฮมจะไม่ร้อนแรงเท่าปีที่ผ่านมา แต่ถ้าพิจารณาจากภาพรวมทั้งตลาดอสังหาฯ กลุ่มทาวน์โฮมนับว่าได้รับผลกระทบไม่หนักมาก ถือว่ายังไปได้และมีโอกาสจากปัจจัยบวกที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มที่เริ่มทำงานที่ปรับเปลี่ยนความต้องการจากคอนโดมิเนียมเป็นทาวน์โฮม สาเหตุเพราะกระแสการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานมาเป็นลักษณะของ Work from Home มากขึ้นอีกทั้งตลาดทาวน์โฮมตอบโจทย์กลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ราคาเข้าถึงได้และตอบโจทย์ด้านพื้นที่ใช้สอย
ทั้งยังได้รับอานิสงส์ของการขยายการเดินทางด้วยเส้นทางของรถไฟฟ้าที่กำลังจะเปิดใช้ในช่วงปลายปี
รวมถึงการขยายโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นถนนและเส้นทางซึ่งทำให้เกิดทำเลใหม่ที่เชื่อมการเดินทางเข้าออกจากชานเมืองสู่กลางเมืองได้สะดวกขึ้น
อย่างไรก็ตามทิศทางการซื้อขายที่อยู่อาศัยในช่วงที่เหลือของปี 2563
น่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าในช่วงครึ่งปีแรก
จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่คาดว่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ขณะเดียวกัน มองว่าการออกมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ
ของภาครัฐ โดยเฉพาะเรื่องการลดการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนองให้เหลือ
0.01% ซึ่งรัฐมีการกำหนดเพดานราคาที่อยู่อาศัยที่จะได้รับสิทธิ์ในมาตรการดังกล่าว
ต้องมีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท หากมีราคาเกิน 3 ล้านบาทขึ้นไป
จะไม่เข้าเกณฑ์หรือข้อกำหนดในมาตรการนี้ซึ่งการกระตุ้นของภาครัฐอาจจะสามารถเป็นยาแรงได้
หากรัฐมีการยกเลิกหรือตัดข้อกำหนดด้านเพดานราคากลุ่มที่อยู่อาศัยเกิน 3
ล้านบาทออกไป หรือมาตรการดอกเบี้ยพิเศษคงที่
ที่หากสามารถเพิ่มกรอบวงเงินให้มากขึ้นและขยายการเข้าถึงสินเชื่อได้กว้างขึ้น
รวมทั้งหากมีมาตรการจูงใจด้านการลดหย่อนภาษี เช่นโครงการบ้านหลังแรก
ก็น่าจะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของกลุ่มผู้บริโภคในวงกว้างได้มากขึ้น”นางสาวสุวรรณี
กล่าว