แนะแบ่งทองคำออกขายทำกำไร ใกล้แนวต้าน 1,720-1,735 ดอลลาร์
ราคาทองคำเดือน ก.ย. เคลื่อนไหวในกรอบ 1,654.00-1,735.10
ดอลลาร์ต่อออนซ์ ปรับตัวลดลง -2.01%
จากเดือนก่อนหน้า โดยราคาทองคำร่วงลง 6 เดือนติดต่อกันในปีนี้ นับตั้งแต่เดือน
เม.ย.-ก.ย. แม้ช่วงสองสัปดาห์แรกของเดือนราคาทองคำจะมีทิศทางฟื้นตัวขึ้นบ้าง
รับปัจจัยหนุนจาก
1. แรงซื้อ
Buy the dip หลังจากราคาทองคำเข้าสู่ภาวะขายมากเกินไป
(Oversold)
2. ตลาดแรงงานสหรัฐฯชะลอความร้อนแรงลง
หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 315,000
ตำแหน่งในเดือน ส.ค. แม้จะดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แต่ก็ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้า
ขณะที่อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเกินคาดสู่ระดับ 3.7% ส่วนรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงแรงงานดีดตัวขึ้น 0.3%
น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4%
3. ธนาคารกลางยุโรป
(ECB) มีมติ
“ขึ้น” อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (Deposit
Rate) 75 bps ในการประชุมเดือน ก.ย. จากระดับ 0.00%
สู่ระดับ 0.75%
พร้อมส่งสัญญาณว่า ECB จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในการประชุมหลายครั้งต่อจากนี้เพื่อคุมเงินเฟ้อ
หนุนยูโรฟื้น กระตุ้นแรงขายดอลลาร์
และ 4. เทรดเดอร์คาดการณ์ล่วงหน้าว่าสหรัฐฯ จะเปิดเผย CPI ที่บ่งชี้ว่า
เงินเฟ้อจะชะลอตัวลงและผ่านจุดพีคไปแล้ว ทั้งนี้ ผลการสำรวจนักวิเคราะห์คาดว่า
ดัชนี CPI ทั่วไป
ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 8.1% ในเดือน ส.ค. เมื่อเทียบรายปี
โดยชะลอตัวจากระดับ 8.5%
ในเดือน ก.ค. ก่อนหน้านี้ ดัชนี CPI
ทั่วไปพุ่งแตะระดับ 9.1%
ในเดือน มิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี
ปัจจัยที่กล่าวมาหนุนทองคำให้พุ่งทดสอบระดับสูงสุดของเดือน ก.ย.บริเวณ 1,735.10
ดอลลาร์ต่อออนซ์
ก่อนที่ราคาทองคำจะเกิดการทิ้งตัวลงอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่กระทรวงแรงงานสหรัฐฯเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้น
8.3%
ในเดือน ส.ค. เมื่อเทียบรายปี โดย “สูงกว่า” ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 8.1%
เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI
เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือน ส.ค. “สวนทาง”
นักวิเคราะห์ที่คาดว่าลดลง 0.1%
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานเพิ่มขึ้น
6.3%
ในเดือน ส.ค. เมื่อเทียบรายปี โดย “สูงกว่า” ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.1%
เมื่อเทียบรายเดือน
ดัชนี CPI พื้นฐานดีดตัวขึ้น 0.6%
ในเดือน ส.ค. โดย “สูงกว่า” ตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.3%
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯยังคงอยู่ในระดับสูง
และจะหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวต่อไป พร้อมกับกระตุ้นคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ย
100 bps ในการประชุม
20-21
ก.ย. กดดันราคาทองคำร่วงลงในวันที่ 13 ก.ย. มากถึง -23 ดอลลาร์ต่อออนซ์
นอกจากนี้ ราคาทองคำได้รับแรงกดดันเพิ่ม
หลังสหรัฐฯเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจหลายรายการออกมาดีกว่าคาด อาทิ
ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 5,000 ราย สู่ระดับ 213,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว
โดยปรับตัวลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 5 แตะระดับต่ำสุดในรอบ 3
เดือน และสวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 226,000
ราย ส่วนยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.3%
ในเดือน ส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากลดลง 0.4% ในเดือน ก.ค.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ยอดค้าปลีกทรงตัวในเดือน ส.ค. หรือเพิ่มขึ้น 0.0%
ขณะที่ดัชนี Empire State Index ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ -1.5
ในเดือน ก.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ -13.8
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า
เศรษฐกิจสหรัฐฯมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะสนับสนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวต่อไป
นั่นทำให้ดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 0.12%
ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 2 ปี พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 15
ปีที่ 3.879%
ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี
เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.455%
เป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้ทองคำร่วงลงหลุดโซน 1,680 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ที่เป็นฐานราคาต่ำสุดของปี 2021
และปี 2022
จนกระตุ้นแรงขายทางเทคนิคเพิ่มเติม
สถานการณ์ดังกล่าวกดดันให้ทองคำดิ่งลงต่อทำจุดต่ำสุดของเดือน ก.ย. บริเวณ 1,654.00
ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. 2020
นอกจากนี้ กองทุน SPDR ถือครองทองคำลดลง -18.31 ตัน ตัน ในช่วงวันที่ 1-19 ก.ย. ซึ่งเป็นการถือครองทองคำลดลงต่อเนื่องมาจากเดือน พ.ค., มิ.ย., ก.ค. และ ส.ค. ที่ผ่านมา โดยเป็นการขายทองคำเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันในปีนี้ ขณะที่ภาพรวมการถือครองทองคำของ SPDR ในปี 2022 พลิกกลับมาเป็นขายสุทธิจำนวน -17.71 ตัน (ข้อมูล ณ สิ้นสุดวันที่ 19 ก.ย. 2022) สะท้อนกระแสเงินทุนไหลออกจากทองคำ
สำหรับเดือนตุลาคม แนะนำติดตาม
- จีนจะเข้าสู่ช่วงเทศกาลเฉลิมฉลอง
เนื่องในเทศกาลฉลองวันชาติจีน (Golden
Week) เป็นช่วงเทศกาลวันหยุดยาวในระหว่างวันที่ 1-7
ต.ค. 2022
อาจส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายทองคำของจีนอาจเบาบางลง
ในช่วงต้นเดือนตุลาคมเพราะตลาดเงิน ตลาดทุนของจีนปิดทำการ
- ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนตกต่ำลง ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ เตือน นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ว่า หากจีนละเมิดมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ก็จะถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ และเตือนว่าจะไม่มีเม็ดเงินลงทุนเข้าจีน แม้ว่าไม่มีข้อมูลบ่งชี้ว่าจีนได้จัดหาอาวุธให้รัสเซียเพื่อใช้ในการบุกยูเครน แต่ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯมีแนวโน้มตรึงเครียดเพิ่มขึ้น ขณะที่จีนแสดงออกอย่างระมัดระวังต่อกรณีที่รัสเซียใช้ปฏิบัติการทางทหารในยูเครน แต่จีนได้วิพากษ์วิจารณ์ชาติตะวันตกต่อการคว่ำบาตรรัสเซีย
นอกจากนี้ ปธน.ไบเดน ยืนยันว่า
สหรัฐฯจะปกป้องไต้หวัน หากเกิดการโจมตีอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แต่หลีกเลี่ยงคำถามเกี่ยวกับการเป็นเอกราชของไต้หวัน ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน
ที่มีโอกาสตึงเครียดเพิ่มขึ้นกระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
- การประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่จะเกิดขึ้นช่วงกลางเดือนตุลาคม
เป็นสิ่งที่นักลงทุนจับตาว่านโยบายของจีนจะเป็นไปในทิศทางใด
หรือเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร โดยก่อนหน้านี้ จีนดำเนินนโยบาย Zero-Covid ที่แม้จะยืดหยุ่นมากขึ้น
แต่ก็มีการประกาศล็อกดาวน์เมื่อ ตรวจพบผู้ติดเชื้อ Covid เพื่อป้องกันการระบาดในวงกว้าง
ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ทรุดตัวลงจากปัญหาด้านสภาพคล่อง ภาวะอุปสงค์ชะลอตัว, การที่ประชาชนไม่ยอมจ่ายค่าจำนองบ้าน
แม้ว่ารัฐบาลจะมีการเข้ามาให้ความช่วยเหลือ แต่ก็อาจยังไม่เพียงพอที่จะทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น
ทางด้าน ปธน.สี จิ้นผิง
เดินทางออกนอกประเทศในช่วงกลางเดือน ก.ย.
เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
โดยเลือกที่จะเยือนเอเชียกลาง บ่งชี้ให้เห็นว่า
จีนกำลังพยายามดำเนินการผ่านการทูตระดับประมุขแห่งรัฐ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่มั่นคงและมีเสถียรภาพ
ไม่เพียงเพื่อความก้าวหน้าของจีนเองเพียงเท่านั้น
แต่ยังเพื่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของภูมิภาคและชุมชนระหว่างประเทศส่วนใหญ่
ความเคลื่อนไหวทางการทูตครั้งสำคัญของ ปธน.สี จิ้นผิง ในเอเชียกลาง จะนำมาซึ่งอิทธิพลใหม่ในระยะยาวไม่เพียงแต่ในภูมิภาคเท่านั้น
แต่ยังรวมถึงโลกด้วย
นอกจากนี้ นักลงทุน ประเมินว่า ปธน.สี จิ้นผิง
เตรียมที่จะดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศเป็นสมัยที่ 3
โดยจะได้รับการสนับสนุนในการประชุมของพรรคคอมมิวนิสต์ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคม
ซึ่งจะเป็นการดำรงตำแหน่งที่ยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์
โดยทางการของจีนยังไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นใดๆ ต่อกระแสคาดการณ์ดังกล่าว
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจของจีนจะส่งผลกระทบต่อทิศทางสกุลเงินหยวนและราคาทองคำ
- จับตาทิศทางการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐที่จะเกิดขึ้นในวันที่
8
พ.ย. 2022
แม้ว่าสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า คะแนนนิยมของ ปธน.ไบเดน เพิ่มขึ้น
เนื่องจากพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในรัฐสภาสหรัฐฯ จนสามารถผ่านร่างกฎหมาย
เพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ราคายาถูกลง
และเพิ่มศักยภาพของสหรัฐฯให้สามารถแข่งขันกับความพยายามด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีนได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม
พรรคเดโมแครตอาจสูญเสียที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรส่วนมากในศึกเลือกตั้งครั้งนี้
หลังจากเศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวลงอย่างชัดเจน
ค่าครองชีพ-อัตราเงินเฟ้อปรับตัวพุ่งสูงขึ้น ด้วยเหตุผลดังกล่าว นายมิตช์
แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาสหรัฐฯจากพรรครีพับลิกัน กล่าวว่า
พรรคมีโอกาสเพียง 50-50
ที่จะกลับมาควบคุมเสียงข้างมากในวุฒิสภา
ดังนั้น
การคาดการณ์แนวโน้มผลการเลือกตั้งกลางเทอม จะส่งผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ
และทิศทาง สกุลเงินดอลลาร์ เพราะหากพรรครีพับลิกันกลับมาได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งกลางเทอมจนพรรครีพับลิกัน
ครองเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภาอาจนำไปสู่การยับยั้งร่างกฎหมายต่างๆ
ที่เสนอโดยพรรคเดโมแครต
ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯที่เปราะบางอยู่แล้ว
คาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำ ในเดือนตุลาคม
ในส่วนของมุมมองด้านปัจจัยทางเทคนิค
แนวโน้มราคาทองคำ ในเดือนกันยายน สร้างระดับต่ำสุดครั้งใหม่ในรายเดือน และรายปี
ซึ่งลงมาแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี
หลังราคาหลุดบริเวณ 1,676
ดอลลาร์ต่อออนซ์ ระดับต่ำสุดของปี 2021
แม้ว่าจะมีแรงช้อนซื้อสลับเข้ามาพยุงราคาทองคำให้ฟื้นตัวขึ้นได้บ้าง
แต่แรงซื้อก็เป็นไปอย่างจำกัด
ทั้งนี้
หากระยะสั้นราคาแกว่งตัวออกด้านข้างแบบพยายามทรงตัวรักษาระดับไว้
ราคามีโอกาสทดสอบระดับ 1,720-1,735
ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้ง (บริเวณ 1,735
ดอลลาร์ต่อออนซ์ ระดับสูงสุดของเดือน ก.ย.2022) หากไม่สามารถผ่านได้ ประเมินว่า
ดัชนีอาจอ่อนตัวลงทดสอบแนวรับโซน 1,638
ดอลลาร์ต่อออนซ์
อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำอาจแกว่งตัวผันผวนเพิ่ม ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่ถือทองคำไว้ แนะนำแบ่งทองคำออกขายทำกำไร เมื่อราคาปรับตัวขึ้นเข้าใกล้แนวต้านบริเวณ 1,720-1,735 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพื่อลดความเสี่ยง โดยหากราคาผ่านได้สามารถชะลอการขายไปที่แนวต้านถัดไป โซน 1,807 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตาม หากราคาปรับฐานหรืออ่อนตัวลง ประเมินกรอบแนวรับแรกบริเวณ 1,638 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากยืนได้สามารถเข้าซื้อหวังทำกำไรจากการดีดตัวขึ้น แต่หากยืนไม่ได้ มุมมองเชิงบวกจะลดลง โดยราคามีโอกาสอ่อนตัวลงต่อทดสอบกรอบราคาด้านล่าง บริเวณ แนวรับโซน 1,566 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ระดับต่ำสุดเดือน เม.ย. 2020)