ดอลลาร์แข็งค่ามากสุดในรอบ 20 ปี ฉุดราคาทองคำร่วง 4 เดือนรวด
ราคาทองคำเดือน ก.ค.เคลื่อนไหวในกรอบ
1,697.52-1,814.09 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เหวี่ยงตัวในกรอบ 116.57 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ปรับตัวลดลง -95.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากเดือนก่อนหน้า (-5.30% จากเดือนก่อนหน้า)
โดยราคาทองคำร่วงลง 4 เดือนติดต่อกันในปีนี้ นับตั้งแต่เดือน เม.ย.-ก.ค.
ขณะที่ปัจจัยกดดันราคาทองคำหลักๆ ในเดือน ก.ค.นั้น มาจาก กองทุน SPDR ถือครองทองคำลดลงถึง
-43.57 ตันในช่วงวันที่ 1-19 ก.ค. ซึ่งเป็นการถือครองทองคำลดลงต่อเนื่องมาจากเดือน
พ.ค.และ มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยเป็นการขายทองคำเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันในปีนี้
สะท้อนกระแสเงินทุนไหลออกจากทองคำ ขณะที่การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์
เป็นปัจจัยกดดันหลักสำหรับราคาทองคำในเดือน ก.ค.
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างมาก
แตะระดับสูงสุดในรอบ 20 ปีครั้งใหม่ที่ 109.29
ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2002
เนื่องจากนักลงทุนพากันเข้าซื้อดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัยท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก
หลังดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
พุ่งขึ้น 9.1% ในเดือน มิ.ย. เมื่อเทียบรายปี
ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 8.8%
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน
เพิ่มขึ้น 5.9% ในเดือน มิ.ย. เมื่อเทียบรายปี
ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.8% เช่นกัน ขณะที่ ดัชนีราคาผู้ผลิต
(PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อในส่วนของผู้ผลิตเพิ่มขึ้นเกินคาดที่
1.1% ในเดือน มิ.ย. ตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐฯยังอยู่ในระดับสูง
เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง
ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยิ่ง “เร่ง”
ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย “อย่างแข็งกร้าวกว่าที่เคยประเมินไว้”เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 14-15 มิ.ย.
โดยระบุว่า กรรมการเฟดยังคงเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการควบคุมเงินเฟ้อ
แม้ว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยก็ตาม
โดยกรรมการเฟดเชื่อว่า
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% หรือ 0.75% ในการประชุมเดือน
ก.ค.ถือเป็นเรื่องที่เหมาะสม และมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในระดับที่รุนแรงมากขึ้นเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ขณะที่ นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ หนึ่งในคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
กล่าวว่า เขาพร้อมที่จะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1% ในการประชุมเดือน ก.ค.
แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอย่างต่อเนื่อง
เป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำซึ่งไม่ให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย
ไม่เพียงเท่านั้น
สกุลเงินยูโรดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 20 ปี หรือต่ำสุดนับตั้งแต่ ธ.ค. 2002
ในระหว่างการซื้อขายเดือน ก.ค.
ท่ามกลางความกังวลว่าวิกฤติพลังงานอาจส่งผลให้เศรษฐกิจในยูโรโซนเผชิญภาวะถดถอย
หลังราคาก๊าซในยุโรปพุ่งสูงขึ้น ขณะที่ดัชนี PMI ภาคการผลิต-บริการขั้นสุดท้ายของยูโรโซน
ดิ่งลงสู่ระดับ 52.0 ในเดือนมิ.ย. แตะระดับต่ำสุดในรอบ 16
เดือนสะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงชัดเจน การอ่อนค่าของสกุลเงินยูโร
เป็นปัจจัยหนุนดอลลาร์ และกดดันราคาทองคำเพิ่มเติม
นอกจากนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) ร่วงลงในวงกว้าง จากความวิตกว่าเศรษฐกิจถดถอยจะกดดันดีมานด์ สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกดดันราคาทองคำซึ่งเป็นหนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ขนิดหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยหนุนราคาทองคำเข้ามาบ้าง
จากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดสาย Hawk
2 ราย ได้แก่ นายเจมส์ บูลลาร์ด
ประธานเฟดเซนต์หลุยส์ และ นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ หนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟด
กล่าวสอดคล้องกันว่า พวกเขายังคงสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.75%
ในการประชุมเดือน ก.ค. ซึ่งน้อยกว่าที่นักลงทุนในตลาดบางส่วนกังวลว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย
1% ในการประชุมเดือน ก.ค.
ด้าน นายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดแอตแลนตา
กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ "รุนแรงเกินไป"
อาจบ่อนทำลายแนวโน้มเชิงบวกที่ยังคงพบเห็นได้ในระบบเศรษฐกิจ
และทำให้ความไม่แน่นอนที่มีมากอยู่แล้วยิ่งเพิ่มขึ้น ปัจจัยที่กล่าวมากดดันดัชนีดอลลาร์ให้อ่อนค่าจนเป็นปัจจัยพยุงราคาทองคำให้ฟื้นตัวขึ้นบ้าง
นอกจากนี้ รายงานของ Reuters ที่ระบุว่า
เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB)
กำลังพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50%
ในการประชุมนโยบายการเงินในวันพฤหัสบดีที่ 21 ก.ค.
ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% ที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้
ช่วยหนุนสกุลเงินยูโรฟื้นตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์
สกัดการแข็งค่าของดอลลาร์ และช่วยสกัดช่วงติดลบของราคาทองคำ
สำหรับเดือนสิงหาคม แนะนำติดตาม
การประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
ที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-27 ส.ค.นี้ ถือเป็นการประชุมที่ได้รับความสนใจอย่างมาก
โดยมีผู้ว่าการธนาคารกลาง รัฐมนตรีคลัง นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน
จากประเทศต่างๆ ทั่วโลก เดินทางเข้าร่วมการประชุม ทั้งนี้ นักลงทุนจับตา
การกล่าวปาฐกถาของ นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด เพื่อแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายการเงินของเฟด
และแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ทั้งนี้
เฟดจะยังจำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับที่สูงในช่วงไตรมาสที่ 3 ปีนี้
โดยคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยในระดับ 50
bps ในเดือน ก.ย. แต่ในช่วงไตรมาสที่ 4
ที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับชะลอลง เฟด จะขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียงรอบละ 25 bps ในเดือน
พ.ย. และ ธ.ค.
รัฐบาลจีนกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง
หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ สหรัฐฯ-ยุโรป
เผชิญยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 พุ่งสูงท่ามกลางโอมิครอนระบาด
พบว่าส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ BA.4
และ BA.5
ซึ่งน่าจะมีความรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์ย่อยโอมิครอนก่อนหน้านี้ ทั้งนี้
ข้อมูลเอกสารวิจัยที่รอตีพิมพ์ของประเทศญี่ปุ่น ยังพบว่า BA.4
และ BA.5
ดื้อต่อภูมิคุ้มกัน นั่นหมายความว่า ผู้ที่เคยติดเชื้อสายพันธุ์ BA.1
และ BA.2
ก็สามารถติดเชื้อซ้ำได้
อีกทั้ง BA.4 และ BA.5
ยังมีประสิทธิภาพในการแพร่กระจายในเซลล์ปอดของมนุษย์มากกว่า BA.2
ขณะที่องค์การอนามัยโลก ย้ำอีกครั้งว่า การระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19
ยังคงเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของโลก
เพิ่มความวิตกกังวลว่าหลายประเทศอาจกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์ เพื่อควบคุมการระบาดอีกครั้ง
ทั้งนี้
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของแคลิฟอร์เนียกำลังพิจารณาการกลับมาใช้มาตรการบังคับสวมหน้ากากอนามัยในอาคารอีกครั้ง
ซึ่งศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) ระบุว่า ค่าเฉลี่ย 7 วันของผู้ติดเชื้อโควิด-19
ที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลได้เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่านับตั้งแต่ต้นเดือน
พ.ค. ท่ามกลางความไม่แน่นอนเศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง
และยาวนานมากขึ้น ความเสี่ยงดังกล่าว กระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
ประจำวันที่ 10 ส.ค. 2022 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในปี 2022
มีแนวโน้มสูงเกินกรอบเป้าหมายเนื่องจากราคาน้ำมันโลกที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงนานกว่าคาด
ภายใต้ภาวะที่เงินเฟ้อมีความเสี่ยงสูงขึ้น
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ช้าเกินไป
อาจก่อให้เกิดต้นทุนทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป ทั้งนี้ มีกระแสคาดการณ์ว่า อาจได้เห็น
กนง.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้ง ในระดับ 25bps ในช่วงที่เหลือของปีนี้
เพื่อควบคุมเงินเฟ้อคาดการณ์ที่มีแนวโน้มเร่งตัว
ประกอบกับ
ธนาคารกลางในหลายประเทศประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามธนาคารกลางสหรัฐฯ
แนวโน้มดังกล่าวอาจ ส่งผลต่อทิศทางค่าเงินบาท ให้ชะลอการอ่อนค่า
หลังจากช่วงที่ผ่านมา ค่าเงินบาทที่เคลื่อนไหวผันผวน
และอ่อนค่าแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี ทั้งนี้
ธปท.ได้ติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท และเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิด
และพร้อมเข้าดูแลเมื่อความผันผวนมากผิดปกติ
ทั้งนี้
การอ่อนค่าของค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านส่งผลบวกต่อราคาทองคำแท่งในประเทศ ทั้งนี้
หากแนวโน้มค่าเงินบาทชะลอการอ่อนค่า
หรือกลับมาแข็งค่าก็จะส่งผลลบต่อราคาทองคำแท่งในประเทศ
คาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำ ในเดือนสิงหาคม
ในส่วนของมุมมองด้านปัจจัยทางเทคนิค หลังจากราคาทองคำปรับตัวลงจนสร้างระดับต่ำสุดในรอบกว่า
9 เดือน ราคาทองคำอาจพยายามแกว่งตัวเพื่อรักษาระดับและสร้างฐานราคา
โดยระยะสั้นหากราคาทองคำอ่อนตัวลงและสามารถยืนเหนือแนวรับบริเวณ 1,676
ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ระดับต่ำสุดของปี 2021) ได้อย่างแข็งแกร่ง คาดว่าราคาน่าจะมีการปรับตัวขึ้นได้อีกครั้ง
แนะนำจับตาแนวรับบริเวณ 1,676 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างใกล้ชิด
หากราคายืนได้จะเกิดการฟื้นตัวขึ้นของราคาอีกครั้ง
แต่หากยืนไม่ได้
แนวโน้มราคาจะเป็นลบที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งอาจเกิดแรงขายกดดันให้ราคาทองคำทิ้งลงได้ต่อ
ซึ่งยังคงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนและการแกว่งตัวของราคาอาจอยู่ในระดับสูง
หรือ มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นในช่วงสั้น สำหรับผู้ที่ไม่มีทองคำในมือรอดูบริเวณ 1,676
ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากไม่หลุด สามารถเข้าซื้อเพื่อทำกำไรระยะสั้น
แต่หากยืนไม่อยู่ให้ชะลอการเข้าซื้อเพื่อรอการสร้างฐานของราคา
อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำมีการแกว่งตัวมากขึ้น
นักลงทุนควรตั้งจุดตัดขาดทุนหากราคาไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์
เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน
ขณะที่หากราคาดีดตัวขึ้นให้ขายทำกำไรบริเวณแนวต้านที่ 1,752-1,786 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แต่หากราคาทองคำสามารถผ่านแนวต้านแรกได้ มุมมองเชิงลบอาจลดลง
และอาจเกิดแรงซื้อดันราคาปรับตัวขึ้นทดสอบบริเวณแนวต้านถัดไปบริเวณ 1,814-1,833
ดอลลาร์ต่อออนซ์
ข้อมูลโดย วายแอลจี บูเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส
จากคอลัมน์ ตลาดทองคำ วารสารการเงินธนาคารฉบับเดือนสิงหาคม 2565 ฉบับที่ 484