REIT buy-back ความหวังอสังหาฯ รอยัล ออคิด เชอราตัน ประเดิมเจ้าแรก 4,500 ลบ.
การแพร่ระบาดของโควิด-19
ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย
โดยเฉพาะธุรกิจการท่องเที่ยวที่ถือเป็นหนึ่งในรายได้หลักประเทศ ขณะที่ในปี 2563
จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงเหลือ 6.7
ล้านคน จาก 39.9
ล้านคนในปี 2562
หรือลดลงถึง 83%
ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจจำนวนมากขาดรายได้และขาดสภาพคล่อง
ดังนั้น
เพื่อให้ภาคธุรกิจมีทางเลือกในการระดมทุนเพื่อเสริมสภาพคล่องจากหลายช่องทางภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันนอกเหนือจากการขอสินเชื่อจากธนาคาร
ออกหุ้นกู้ หรือออกหุ้นทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.) จึงออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังประสบปัญหาด้านสภาพคล่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
โดยเปิดทางให้ผู้ประกอบธุรกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์สามารถระดมทุนผ่านเครื่องมือที่เรียกว่าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการขายอสังหาริมทรัพย์คืนให้แก่เจ้าของเดิม
(REIT buy-back)
“REIT
buy-back”
ทางเลือกใหม่สำหรับผู้ประกอบการ-นักลงทุน
สำหรับ REIT buy-back นั้น เป็นทางเลือกใหม่ในการระดมทุนผ่าน
REIT โดย
REIT จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ในราคาที่มีส่วนลด
และเจ้าของอสังหาริมทรัพย์สามารถทำข้อตกลงที่จะซื้อคืนจาก REIT ภายใต้เงื่อนไขและราคาที่ตกลงไว้ล่วงหน้า
ซึ่งการกำหนดเงื่อนไขการซื้อคืนจะช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่
มาระดมทุนเพื่อเสริมสภาพคล่องทำให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
และยังรักษาความเป็นเจ้าของในอสังหาริมทรัพย์ไว้ได้ เพราะหากสถานการณ์ดีขึ้นสามารถซื้อคืนได้
REIT buy-back จึงเป็นมาตรการที่ช่วยแก้ปัญหาให้แก่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง
และยังเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ผู้ลงทุนมีโอกาสลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพในราคาส่วนลดจึงทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคาลงทุนและราคาที่เจ้าของจะซื้อคืนตามหลักเกณฑ์ของ
ก.ล.ต. จะแบ่ง REIT
buy-back เป็น 2 รูปแบบ ตามความเสี่ยงและความซับซ้อนของข้อตกลง
เพื่อให้เหมาะสมกับผู้ลงทุนแต่ละกลุ่ม ได้แก่
รูปแบบแรก REIT buy-back ที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปจะต้องมีข้อตกลงที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์มี“ภาระผูกพันในการซื้อคืน” (Obligation) เพื่อให้ผู้ลงทุนรู้แน่ชัดว่าจะได้รับผลตอบแทนเท่าไร
และต้องเปิดเผยข้อมูล Credit
Rating ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เดิมด้วย
เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน เนื่องจากความเสี่ยงหลักของ “REIT buy-back ที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไป” นั้น
อยู่ที่ความสามารถในการมาซื้อคืนของเจ้าของ
รูปแบบที่ 2 REIT buy-back ที่เสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ
(Ultra-High Net Worth) เท่านั้นสำหรับ
REIT buy-back ในรูปแบบนี้จะมีความเสี่ยงสูงกว่าแบบแรก
เพราะสามารถเลือกได้ว่าจะกำหนดเป็น “ภาระผูกพันในการซื้อคืน” (Obligation) โดยไม่จำเป็นต้องมี
Credit Rating ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เดิมหรือ
กำหนดเป็นข้อตกลงที่ให้“สิทธิ” เจ้าของอสังหาริมทรัพย์เดิมมาซื้อคืน
(Option) ก็ได้
ซึ่งกรณี Option 3
นั้น เจ้าของอสังหาริมทรัพย์อาจจะซื้อคืนหรือไม่ก็ได้
โดยที่เจ้าของเดิมจะมาใช้สิทธิซื้อคืนเมื่อราคาในตลาดสูงกว่าราคาใช้สิทธิที่กำหนดไว้แต่หากราคาในตลาดต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ
เจ้าของเดิมก็อาจเลือกไม่มาซื้อคืน จึงทำให้ผู้ลงทุนจึงมีความเสี่ยงมากกว่าแบบแรก
ดังนั้น การลงทุนใน REIT buy-back จึงมีความแตกต่างจาก REIT ทั่วไป ทั้งลักษณะผลตอบแทนและความเสี่ยงผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาศักยภาพของอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุน และความเหมาะสมของราคาที่ REIT เข้าลงทุนเป็นสำคัญ รวมถึงควรคำนึงถึงความเสี่ยงและผลกระทบหากเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เดิมไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่อาจเกิดขึ้นด้วย
รอยัล ออคิด เชอราตันนำร่องระดมทุนผ่าน GROREIT
บริษัท รอยัล ออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ได้ยื่นแบบคำขอและแบบแสดงรายการข้อมูลและหนังสือชี้ชวนการออกและเสนอขายหลักทรัพย์(ไฟลิ่ง)
เพื่อออกกอง REIT
buy-back condition คือ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แกรนด์
รอยัล ออคิด ฮอสพิทาลิตี้ (GROREIT)ที่มีข้อตกลงในการซื้อคืน
แบบเป็นเจ้าของทรัพย์และผู้เช่ากรรมสิทธิ์แบบสมบูรณ์ (Freehold) ซึ่งมีเงื่อนไขซื้อคืนจากเจ้าของเดิมในราคาและเวลาที่กำหนดแน่นอน
สามารถประมาณผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุนชัดเจนโดยมี บลจ.วรรณ จํากัด เป็นผู้จัดการกองทรัสต์และผู้จัดการการจำหน่าย
บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ (ทรัสตี)และบริษัท
สำนักงานกฎหมาย แคปปิตอล จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย
GROREITจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อประโยชน์ในการดำเนินธุรกรรมในตลาดทุนตามที่
ก.ล.ต.กำหนด โดยมีวัตถุประสงค์ในการออกเสนอขายต่อประชาชน
และนำหน่วยทรัสต์ดังกล่าวเข้าจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
มีทุนชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหน่วยทรัสต์ไม่น้อยกว่า4,500
ล้านบาท ซึ่งถือเป็นทรัพย์สินที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาและในอนาคต
โดยมีหลักทรัพย์หลักคือ
ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโครงการโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตันโฮเทล แอนด์ ทาวเวอร์ส
(รอยัล ออคิด
เชอราตัน)รวมถึงเฟอร์นิเจอร์อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องที่มีความจำเป็นต่อการใช้ประโยชน์ในการประกอบกิจการโรงแรม
มีมูลค่าทรัพย์สินพึงประเมินจาก บริษัท ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย และบริษัท
เดอะแวลูเอชั่น แอนด์ คอนซัลแทนท์ส จำกัด
ซึ่งเป็นบริษัทประเมินมูลค่าทรัพย์สินไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 5,200
ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ามูลค่าที่กองทรัสต์จะลงทุนถึง 13.76%
โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน
เป็นโรงแรมติดริมฝั่งที่ราบตะวันออกของแม่นํ้าเจ้าพระยา
ในกรุงเทพฯบริหารงานโดยผู้นำด้านการบริการระดับโลกและมาตรฐานระดับสากล ในเครือ Marriott ซึ่งมีเครือข่ายทั่วโลกโดยตัวอาคารออกแบบเป็นรูปตัววายเพื่อให้ห้องพักทุกห้องสามารถรับชมทิวทัศน์จากแม่น้ำเจ้าพระยาได้ดีที่สุด
อีกทั้งช่องทางการเดินทางไปโรงแรมทำได้อย่างสะดวกสบายซึ่งสามารถเดินทางได้ด้วยรถไฟฟ้า
BTS ลงสถานี
สะพานตากสิน หรือทางเรือ รวมถึงที่จอดรถสำหรับผู้มีประสงค์เดินทางโดยรถส่วนตัว
โรงแรมยังอยู่ใกล้กับ ICON SIAM ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าริมแม่น้ำที่มีทั้งร้านค้า
ร้านอาหารและบาร์ แล้วเป็นจุดขึ้นเรือ
สำหรับล่องเรือทานอาหารบนเรือตอนเย็นมีห้องพักที่สามารถรองรับแขกได้มากถึง 726
ห้อง บนพื้นที่กว้างขวางกว่า 65
ไร่ นอกจากนั้นตัวโรงแรมยังประกอบด้วย ภัตาคารจำนวน 6
ภัตาคาร ห้องประชุมขนาดใหญ่ 2,800
ตารางเมตรฟิตเนส สปา และสิ่งความสะดวกแก่แขกผู้มาพักอย่างครบครัน
GROREIT ได้ยื่นไฟลิ่งต่อก.ล.ต.ในวันที่
5
เม.ย.ที่ผ่านมา โดยมีแผนจะเสนอขายนักลงทุนทั่วไป (ไม่จำกัด)
โดยได้รับการจัดอันดับเครดิตเรตติ้ง BB- จากทริสเรทติ้งมูลค่าการเสนอขาย 3,150
ล้านบาท ราคาเสนอขาย 10
บาทต่อหน่วยโดยมีระยะเวลาซื้อคืนอยู่ที่ 5 ปี(3+1+1 ปี) คือ ซื้อคืนที่ระยะเวลาเร็วที่สุด 3
ปีที่ 4,703
ล้านบาท ประมาณอัตราการจ่ายประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน 6%
ต่อปี (ระหว่างปีที่ 1-5)