สงครามราคายังดุเดือด โอกาสทองของผู้ซื้อ-นักลงทุน ผู้ขายอย่ารีบร้อนถ้าอยากได้ผลตอบแทนดี
ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผย รายงานดัชนีราคาอสังหาริมทรัพย์ประจำไตรมาส 4 ปี 2563 (DDproperty Thailand Property Market Index Q4 2020) พบดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 2% ถือเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส แสดงให้เห็นสัญญาณบวกของตลาดอสังหาฯ ที่เริ่มเติบโตจากการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ของผู้ประกอบการออกสู่ตลาด พร้อมปล่อยสงครามราคามากระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอย่างไม่หยุดยั้งหลังสถานการณ์โควิด-19 ในไทยเริ่มคลี่คลาย
แม้กำลังซื้อผู้บริโภคเริ่มฟื้นตัวแต่ยังไม่มั่นใจในการใช้จ่าย
หวังภาครัฐคลอดมาตรการกระตุ้นการซื้อขายช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในตลาดอสังหาฯ
แนะผู้ประกอบการอสังหาฯ มองหากลุ่มเป้าหมาย Real Demand ที่มีศักยภาพเพิ่มเติมเพื่อสร้างโอกาสขยายตลาดเจาะกำลังซื้อกลุ่มใหม่ในประเทศ
นอกจากนี้ รายงาน DDproperty Thailand Property Market Index ฉบับล่าสุดเผยให้เห็นว่า จำนวนอุปทานในช่วงไตรมาสที่ 3 สูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าถึง 23% สะท้อนให้เห็นถึงจำนวนอสังหาฯ คงค้างในตลาดจำนวนมาก เนื่องจากผู้บริโภคใช้เวลาตัดสินใจเลือกซื้ออสังหาฯ มากขึ้น อันเป็นผลมาจากความไม่มั่นใจกับสภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง ซึ่งส่งผลต่อรายได้และการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารที่เข้มงวดขึ้น
สอดคล้องกับข้อมูลรายงานแนวโน้มธุรกิจไตรมาส 3 และแนวโน้มไตรมาส 4 ปี
2563
จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยทิศทางอสังหาริมทรัพย์ไทยรายภูมิภาค พบว่า
ยอดขายและการโอนกรรมสิทธิ์ในภาคกลางลดลง
โดยเฉพาะอาคารชุดและบ้านแนวราบระดับล่างจากกำลังซื้อของลูกค้าชาวไทยที่ลดลง
เมื่อพิจารณาการปล่อยสินเชื่ออสังหาฯ ของธนาคาร พบว่ายอดปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection Rate) ในภาคกลางเพิ่มขึ้นมากกว่า
30%
เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันในปีก่อน ขณะที่ความต้องการที่อยู่อาศัยของคนไทยในภาคเหนือยังมี
แต่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ โดยมียอดปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้น 40-50%
แม้เคยทำ pre-approve ไว้
นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทยของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ กล่าวในงานสัมมนาภายใต้หัวข้อ “The Guru View: แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยในยุคโควิด-19 ที่ยังไร้ยาต้าน” ในงาน Asia Virtual Property Expo (เอเชียเวอร์ชวลพร็อพเพอร์ตี้เอ็กซ์โป) ว่า “ตลาดอสังหาฯ ในปี 2563 นี้ถือเป็นปีที่ท้าทายอย่างมากทั้งในมุมผู้ประกอบการและผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ต้นปีตลาดมีการชะลอตัวตามสภาพเศรษฐกิจไทย ภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
รวมทั้งมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) ที่ส่งผลต่อการซื้อขายในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ
เมื่อผนวกกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยิ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งระบบและทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวอย่างมากในช่วงครึ่งปีแรก
แม้สถานการณ์หลังการล็อกดาวน์จะมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้น
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังคงต้องจับตาการแพร่ระบาดของโควิด-19
รอบใหม่ในประเทศ และความไม่แน่นอนทางด้านการเมืองเป็นอีกปัจจัยที่มีผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ
และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งต้องจับตามองต่อไปว่าภาครัฐจะออกมาตรการใดมาช่วยกระตุ้นการเติบโตในตลาดต่อจากนี้”
“ตลาดอสังหาฯ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ยังคงเป็นโอกาสทองของผู้ซื้อและนักลงทุนระยะยาวที่มีความพร้อมทางการเงิน เนื่องจากผู้ขายยังคงใช้สงครามราคามาช่วยเร่งระบายสต็อกคงค้าง ทำให้ราคาอสังหาฯ ช่วงนี้ยังไม่สูงเกินไป โดยเฉพาะรูปแบบคอนโดฯ และทาวน์เฮ้าส์ จากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Index ล่าสุด พบว่า ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่ 201 จุด จาก 198 จุด หรือเพิ่มขึ้น 2% ถือเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส (นับจากช่วงไตรมาส 1 ปี 2562)
โดยดัชนีราคาบ้านเดี่ยวและคอนโดฯ
มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่ทาวน์เฮ้าส์เป็นอสังหาฯ
รูปแบบเดียวที่ดัชนีราคาปรับลดลง 1%
จากไตรมาสก่อน แม้ราคาที่อยู่อาศัยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
แต่ผู้ขายส่วนใหญ่แข่งขันกันด้วยราคา ดังนั้น
ผู้ที่คิดอยากขายในช่วงนี้ควรชะลอการขายออกไป หากหวังผลตอบแทนที่ดี
นอกจากนี้ราคาทาวน์เฮ้าส์มีสัญญาณลดลง
และสินค้าทาวน์เฮ้าส์ที่มีอยู่ในตลาดราคาใกล้เคียงกับคอนโด ทำให้สินค้าประเภทคอนโดในทำเลเดียวกันอาจขายได้ยากขึ้น” นางกมลภัทร
กล่าวเสริม
เทรนด์ซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบยังโตต่อเนื่อง
คอนโดฯ ให้เช่ามาแรงครองใจชาวกรุง
จากข้อมูลผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ DDproperty.com ในช่วงไตรมาสที่
2
และ 3
ของปีนี้ พบว่า ผู้บริโภคให้ความสนใจเข้าชมประกาศซื้อ-ขาย-เช่าที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ
เติบโตขึ้นกว่า 4%
แสดงถึงสัญญาณบวกของตลาด
และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อมาตรการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
ในประเทศของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี
ดังจะเห็นได้จากที่อยู่อาศัยแนวราบยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ผู้บริโภคค้นหาบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
สอดคล้องกับสัดส่วนอุปทานบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ที่เติบโตอย่างเห็นได้ชัดในปีนี้
(40%
และ 41%
ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปี 2562)
เนื่องจากกลุ่มผู้ซื้อที่เป็นผู้อยู่อาศัยจริง
(Real Demand) หันมาให้ความสำคัญในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ใช้งานมากขึ้น
ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปจากเทรนด์ Work from Home ที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการพิจารณาเลือกซื้อบ้านในช่วงนี้
จึงเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ หันมาเน้นการเปิดตัวโครงการแนวราบอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายส่วนแบ่งการตลาด
โดยเฉพาะระดับราคา 1-5
ล้านบาท หลังจากที่ก่อนหน้านี้โฟกัสอยู่ที่กลุ่มตลาดกลางบน (5
ล้านบาทขึ้นไป)
ในขณะที่ ตลาดให้เช่ายังมีโอกาสเติบโตเช่นกัน โดยมีการค้นหาที่อยู่อาศัยประเภทให้เช่าในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 3 % เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ ซึ่งคอนโดฯ ให้เช่ามีการเติบโตมากที่สุดถึง 9% เป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อผู้บริโภคที่ชะลอตัวทำให้การเช่าที่พักอาศัยกลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เพราะมีความเสี่ยงทางการเงินน้อยกว่า รวมทั้งการพิจารณาการปล่อยสินเชื่อของธนาคารที่เข้มงวดขึ้นทำให้มียอดการปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคให้ความสนใจเลือกเช่าที่อยู่อาศัยที่มีอัตราค่าเช่า 3
หมื่นบาทต่อเดือนขึ้นไป เพิ่มขึ้นถึง 20% ในรอบไตรมาสที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่า
แม้ผู้บริโภคจะยังไม่พร้อมซื้ออสังหาฯ เป็นของตัวเองในตอนนี้
แต่ยังคงมีศักยภาพเพียงพอที่จะจ่ายค่าเช่าในอัตราที่สูงขึ้นในช่วง 1-2 ปี
เนื่องจากมีความจำเป็นที่ต้องเลือกที่พักอาศัยในทำเลที่ต้องการ
ผู้ประกอบการอสังหาฯ ควรปรับตัวรับสถานการณ์ปัจจุบันด้วยการเจาะกลุ่มกำลังซื้อใหม่
ๆ ในประเทศ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจไปยังกลุ่มเป้าหมายอื่นแทนที่กลุ่มกำลังซื้อเดิมที่อาจอิ่มตัว
และได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV