WEALTH • GOLD

อดีต ปัจจุบัน อนาคตของทองคำ ตอนจบ

ในตอนแรก CAF ได้เล่าเกี่ยวกับการเรียนรู้อดีตและปัจจุบันของทองคำ ที่มีอยู่ 6 ปัจจัย US Dollar Index ,นโยบายการเงินของนานาประเทศ  อุปสงค์ และอุปทานทองคำ ,อัตราเงินเฟ้อ,และวิกฤติการณ์ระดับโลก และตอนที่ 2 กำลังจะเล่าอนาคตของทองคำในปี 2565 วิเคราะห์จาก 6 ปัจจัยที่ได้กล่าวไปแล้ว ประกอบกับแนวโน้มทางเทคนิค

แนวโน้มทางเทคนิค ราคาทองคำโลก สร้างรูปแบบ Sideway Down โดยกรอบการเคลื่อนไหวที่ $1,620 - $1780 (File: 1_0.jpg)

โดยปัจจัยพื้นฐานที่ต้องติดตามมี 3 ประการ ดังนี้

       1.นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่กำลังขึ้นดอกเบี้ย และพร้อมทำ Quantitative Tightening (QT) คาดเป็นปัจจัยลบต่อทองคำโลก สาเหตุที่ FED ขึ้นดอกเบี้ยพร้อมทำ QT เพราะหลายปัจจัยได้แก่

           1.1. การแพร่ระบาดโควิด-19 ในสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้นรวดเร็ว กดดันให้รัฐบาลสหรัฐฯประกาศล็อกดาวน์ในปี 2563 ทำให้หยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจลง และ FED มีหน้าที่คุมนโยบายการเงินต้องกระตุ้นเศรษฐกิจในทันที โดยการลดดอกเบี้ยเหลือ 0-0.25% พร้อมส่ง Quantitative easing: QE แบบไม่มีที่สิ้นสุด เอาไปซื้อตราสารทางการเงินระยะกลางและยาว โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า พร้อมอุ้มเศรษฐกิจและดูแลให้ตลาดการเงินทำงานได้ปกติ

           แต่มาตรการดังกล่าวมีสิ่งที่ต้องแลก คือ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง ซึ่งอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปี 2563 มีเพียง 1.24% และ FED ไม่กังวลกับเงินเฟ้อที่จะตามมา แต่ FED กำลังคิดผิดเพราะต่อไปโลกกำลังจะเจอกับปัญหาชิปขาดแคลน และสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน

          1.2. ปัญหาชิปขาดแคลน สาเหตุหลักคือ การระบาดของโควิด-19 ทำให้นานาประเทศใช้มาตรการล็อกดาวน์ กระทบต่อการผลิตชิปที่ถูกล็อกดาวน์ ประกอบกับการ  Work From Home ที่เกิดหลังจากเกิดโควิด-19 ทำให้ คอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน และแท็บเล็ต มีความต้องการเพิ่มขึ้น เพราะเป็นสิ่งจำเป็นในการทำงานที่บ้าน และการเรียน Online

          ทั้งนี้ ชิปจะอยู่ในส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้ากลุ่มไอที สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต รถยนต์ ไปจนถึงเครื่องบินขับไล่ และการขาดแคลนชิป ส่งให้ราคาสินค้าที่มีชิปเป็นส่วนประกอบมีราคาที่เพิ่มขึ้น ส่งเงินเฟ้อทั่วโลกเพิ่ม

          1.3. อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีก เพราะสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ส่งราคาน้ำมันและสินค้าการเกษตรสูง เพราะการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกที่ตัดรัสเซียออกจาก SWIFT โดยตัดธนาคาร 7 แห่งของรัสเซีย ออกจากระบบ SWIFT ที่กระทบต่อภาคธุรกิจ เพราะไม่สามารถรับเงินเมื่อส่งออกสินค้าและจ่ายเงินเมื่อนำเข้าสินค้าได้ ประกอบกับบริษัทเอกชนของชาติตะวันตกพากันถอนตัวจากรัสเซีย

       ประกอบกับสหรัฐฯและอังกฤษแบนน้ำมัน ส่วน EU กำลังหาวิธีลดการใช้น้ำมันจากรัสเซีย รวมถึงชาติตะวันตกยังแบนสินค้าจากรัสเซียได้แก่ พลังงาน ,อาหาร,ปุ๋ย และโลหะ

จาก 3 ปัจจัยที่กล่าวมาส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ขึ้นไปที่ระดับสูงที่สุดในรอบ 40 ปี แตะ 9.1% โดยอัตราเงินเฟ้อที่สูงกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมากดังนี้

       - ผลต่อประชาชน จากราคาสินค้าเพิ่ม กระทบต่อรายจ่ายเพิ่มขึ้นหรือที่เรียกว่า ต้นทุนในการใช้ชีวิตประจำวันเพิ่ม ลดอำนาจการซื้อของประชาชนในการจับจ่ายใช้สอยสินค้าและบริการได้ลดลง และมีความเสี่ยงจากรายได้ที่อาจหาได้เท่าเดิมหรือน้อยลง

       - ผลต่อธุรกิจ จากราคาสินค้าเพิ่ม ลดอำนาจการซื้อสินค้าและบริการของประชาชนลง ประกอบกับต้นทุนการผลิตสูง กระทบต่อการตัดสินใจชะลอการลงทุน ,ผลิต ,และการจ้างงาน และต้นทุนการผลิตที่เพิ่ม สร้างความเสี่ยงต่อสินค้า เพราะความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งต่างประเทศลดลง

       - ภาพใหญ่จากการบริโภคลดลง กดดันภาคธุรกิจชะลอการลงทุน ,ผลิต และการจ้างงาน ลดการขยายตัวของ GDP (File:2_0.jpg)

จากภาพของอัตราเงินเฟ้อที่สูงผลักดันให้ FED เริ่มขึ้นดอกเบี้ยตั้งแต่ มี.ค.2565 และเริ่มทำ Quantitative Tightening (QT) ในวันที่ 1 มิ.ย. เริ่มลดขนาดงบดุลในวงเงิน 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน โดยลดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 3 หมื่นล้านดอลลาร์ และตราสารหนี้ MBS วงเงิน 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และในวันที่ 1 ก.ย. จะลดขนาดงบดุลเป็น 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน

โดยจะปล่อยให้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ และตราสารหนี้ MBS วงเงิน 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึง FED เตรียมขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 3 ครั้งในปีนี้ อาจทำให้ดอกเบี้ยของสหรัฐฯขึ้นไปแตะ 3.75% ซึ่งการเคลื่อนไหวของ FED รอบนี้จะดึงดูดให้นักลงทุนแห่ถือครองเงินสดสกุลดอลลาร์เพิ่มขึ้น นั่นทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่า และเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำโลก

       2.อัตราดอกเบี้ยของประเทศผู้นำเศรษฐกิจโลกและปัญหาทางเศรษฐกิจ กดดันให้นักลงทุนเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ (File:3_0.jpg)

       ในเดือน ส.ค.2565 อัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นอัตราที่ธนาคารกลางจ่ายดอกเบี้ยให้กับธนาคารพาณิชย์ที่เอาเงินมาฝาก หรือเป็นอัตราที่ธนาคารกลางเก็บดอกเบี้ยจากธนาคารพาณิชย์ที่มากู้เงิน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลกับอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์คิดกับลูกค้าที่เป็นผู้กู้หรือผู้ฝากเงิน

      สิ่งที่กำลังจะบอกคือ การเคลื่อนย้ายเงินทุน (Fund Flow) เป็นธรรมชาติที่เงินทุนจะไหลออกจากสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนที่ต่ำ ไปสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูง ในปัจจุบันนักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ทำให้คิดว่า เงินกำลังจะเข้าสู่ตลาดเงินของสหรัฐฯ เพราะแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ FED มีโอกาสขึ้นไปแตะ 3.75% ฉะนั้นแล้วค่าเงินดอลลาร์กำลังจะแข็งมากขึ้นและเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ

       3.อัตราเงินเฟ้อหลังจากนี้  โดยอัตราเงินเฟ้อเกิดขึ้นจาก 2 ส่วน ได้แก่ 1.เงินเฟ้อเกิดจาก ต้นทุนสินค้า หรือ เงินเฟ้อด้านอุปทาน (Cost - Push Inflation) มาจากต้นทุนการผลิตสินค้า และ2.เงินเฟ้อ ด้านอุปสงค์ (Demand-Pull Inflation) มาจากความต้องการใช้จ่าย และกำลังจะวิเคราะห์ Cost - Push Inflation โดยราคาน้ำมันดิบทั้ง Brent และ WTI มีโอกาสที่จะปรับลงอีก เนื่องจาก 3 ปัจจัยนี้  1.เศรษฐกิจโลกชะลอตัว 2.การผลิตน้ำมันของรัสเซียแข็งแกร่ง และ 3.จีนขุดพบแหล่งน้ำมันและก๊าซแห่งใหม่ (File:4_0.jpg)

           3.1.เศรษฐกิจโลกชะลอตัว เป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันราคาน้ำมันดับให้ต่ำลง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า ทำให้นักลงทุนเริ่มคาดการณ์ว่า ความต้องการพลังงานจะลดลง ทั้งนี้ประเทศที่เป็นผู้นำอย่างสหรัฐฯ ,สหราชอาณาจักร และยูโรโซนกำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง

          3.2.การผลิตน้ำมันของรัสเซียแข็งแกร่ง ปัจจัยกดดันราคาน้ำมันผ่านอุปทานที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ชาติตะวันตกคว่ำบาตรพลังงานจากรัสเซีย แต่รัสเซียได้เจรจากับจีนและอินเดียในการขายน้ำมันให้ในราคาต่ำกว่าตลาด

          3.3.จีนขุดพบแหล่งน้ำมันและก๊าซแห่งใหม่ โดยบริษัทซิโนเปกเป็นผู้กลั่นน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของจีน เปิดเผยการจัดหาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ จากแหล่งน้ำมันที่ขุดเจาะใหม่บริเวณแอ่งทาริม ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ซึ่งมีระดับความลึกราว 8,000 เมตร โดยบริษัทซิโนเปกคาดว่าจะสามารถผลิตน้ำมันได้ 244 ตัน และก๊าซธรรมชาติ 970,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน

โดยแนวโน้มราคาน้ำมันดิบทั้ง Brent และ WTI มีโอกาสปรับลง จะลดอัตราเงินเฟ้อของทั่วโลก แต่ไม่ได้เป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำโลก

สรุปอนาคตของราคาทองคำต่อจากนี้อาจไม่สดใส เนื่องจาก 3 ปัจจัยอย่าง 1.นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่กำลังขึ้นดอกเบี้ยพร้อมทำ Quantitative Tightening (QT) 2.อัตราดอกเบี้ยของประเทศผู้นำเศรษฐกิจโลกและปัญหาทางเศรษฐกิจ กดดันให้นักลงทุนเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ และ 3.อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกกำลังลดลง ล้วนแต่เป็นปัจจัยกดดันราคาทองในครึ่งหลังของปี 2565 คำทั้งสิ้น


โดย บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน คลาสสิก ออสสิริส จำกัด