Bitcoin ตัวกลางชำระเงิน หรือสินทรัพย์ลงทุนทางเลือกใหม่ ความท้าทายที่ต้องจับตา
Bitcoin จากเป้าหมายทางเลือกของการชำระเงินสู่สินทรัพย์ลงทุนทางเลือกในปี 2021 Bitcoin เพิ่งผ่านการครบรอบอายุ
12 ปีเมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน Bitcoin
ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ต้องการเป็นตัวกลางการในชำระเงินรูปแบบใหม่ได้
แม้ Bitcoin จะมีจุดเด่นที่ดีกว่าตัวกลางการชำระเงินรูปแบบเดิม
ทั้งมีการกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง
ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีธนาคารกลางหรือตัวกลางอื่นๆ มาคอยควบคุม
มีความโปร่งใสของธุรกรรม และมีความปลอดภัยสูงแต่ที่ผ่านมา Bitcoin กลับมีความผันผวนด้านราคาสูงจึงไม่เหมาะสำหรับการเป็นตัวกลางการชำระเงินรวมถึงรัฐบาลในหลายประเทศยังไม่ยอมรับ
Bitcoin ในการเป็นตัวกลางการชำระเงิน
อย่างไรก็ดี Bitcoin กลับได้รับความนิยมในแง่ของสินทรัพย์ลงทุนทางเลือก
สะท้อนจากเงิน Bitcoin ได้แข็งค่าขึ้นมาอย่างต่อเนื่องโดยในรอบล่าสุดราคา
Bitcoin ได้ทำสถิติสูงที่สุดในประวัติศาสตร์หากนับตั้งแต่ต้นปี
2020 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2021 ราคาของBitcoin
ได้เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 500% ในบทความนี้จะวิเคราะห์สาเหตุที่ราคา Bitcoin
สูงขึ้นในวัฏจักรล่าสุดซึ่งเหมือนหรือต่างจากวัฏจักรปี 2017
อย่างไร รวมถึงความท้าทายของ Bitcoin ในอนาคตที่จะเป็นตัวกลางการชำระเงินหรือสินทรัพย์ลงทุนทางเลือกจะประกอบด้วยอะไรบ้าง
อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคา Bitcoin สูงขึ้นในวัฏจักรขาขึ้นล่าสุด?
เนื่องจาก Bitcoin มีจำนวนเหรียญคงที่
ทำให้ราคาของ Bitcoin สะท้อนจากความต้องการเป็นหลัก โดยผู้สร้าง Bitcoin
ได้จำกัดจำนวนเหรียญในระบบทั้งหมด 21
ล้านเหรียญ ซึ่งในปัจจุบันมีจำนวนเหรียญที่หมุนเวียนในระบบแล้วทั้งสิ้น 18.6
ล้านเหรียญ (คิดเป็น 89% ของจำนวนเหรียญทั้งหมด)ทำให้เคลื่อนไหวของราคา
Bitcoin เกิดจากความต้องการ Bitcoin ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงเป็นหลัก
ซึ่งในรอบนี้เราสามารถแบ่งกลุ่มผู้ที่ต้องการ Bitcoinออกเป็น
2 กลุ่ม ดังนี้
1. นักลงทุนรายย่อย
นักลงทุนรายย่อยมีบทบาทสำคัญต่อราคา Bitcoin อย่างมีนัยสำคัญที่ผ่านมาราคา
Bitcoin เทียบกับดอลลาร์สหรัฐจะสอดคล้องกับยอดค้นหาใน Google
หรือจำนวนทวิตใน Twitter ที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin มาโดยตลอด
(รูปที่ 1ซ้าย) และในปี 2021
มีจำนวนทวิตต่อวันใน #Bitcoin สูงสุดถึง 2.1
แสนโพสต์ เทียบกับในปี 2017 ที่มีจำนวนทวิตสูงสุด 1.6
แสนโพสต์ สะท้อนว่าในวัฏจักรรอบนี้ผู้คนสนใจ Bitcoin มากกว่ารอบก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัดและสอดคล้องกับจำนวนบัญชี
Bitcoin ที่เพิ่มขึ้น
โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2021
จนถึงวันที่ 16กุมภาพันธ์ มีจำนวนบัญชี Bitcoin เพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ
5.5 แสนบัญชีต่อวันเทียบกับปี 2017
ที่มีจำนวนบัญชีเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 3.9
แสนบัญชีต่อวันทำให้ในปัจจุบันมีจำนวนบัญชี Bitcoin ที่มีมูลค่าน้อยกว่า
1BTC (เทียบเท่ากับ 48,585
ดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2021) สูงถึง
95% ของจำนวนบัญชีทั้งหมด
สาเหตุหนึ่งที่นักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้นมากกว่าปี
2017
เกิดจากการมีศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่มากขึ้นในหลายประเทศ
ทำให้นักลงทุนรายย่อยสามารถทำธุรกรรมที่สะดวกขึ้น นอกจากนี้ ความนิยมของนักลงทุนรายย่อยที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งอาจมาจากการเข้ามาลงทุน
Bitcoin ของบริษัทรายใหญ่และนักลงทุนสถาบัน
ซึ่งยิ่งสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนรายย่อยในการลงทุนมากขึ้น
2. บริษัทขนาดใหญ่และนักลงทุนสถาบัน
ในช่วงวัฏจักรขาขึ้นในปี 2017
บริษัทและนักลงทุนสถาบันยังไม่มีบทบาทใน Bitcoin มากนัก
แต่สำหรับปี 2021
บริษัทและนักลงทุนสถาบันหลายแห่งเริ่มให้ความสนใจ Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น
ๆ เพิ่มขึ้นโดยมีสาเหตุหลักอยู่ 2 ประการดังนี้
• บริษัทขนาดใหญ่และนักลงทุนสถาบันมอง
Bitcoin เป็นสินทรัพย์ลงทุนทางเลือกในภาวะที่ธนาคารหลักทั่วโลกผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างมากนับตั้งแต่ปี
2020 ธนาคารกลางหลักทั่วโลกปรับลดอัตราดอกเบี้ย
และออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing: QE) จำนวนมากเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ
COVID-19 ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอยู่ในระดับต่ำและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่า
บริษัทขนาดใหญ่และนักลงทุนสถาบันจึงมองหาสินทรัพย์ลงทุนทางเลือกอื่น ๆ
ที่ไม่ถูกด้อยค่า (Devalue)
โดยนโยบายการเงินของธนาคารกลาง
ที่ผ่านมาสินทรัพย์ที่มีลักษณะดังกล่าวและได้รับความนิยมสูง คือ ทองคำ ซึ่งมีคุณสมบัติเก็บมูลค่าได้
มีจำนวนจำกัด และราคาสอดคล้องอัตราเงินเฟ้อ
แต่การลงทุนในทองคำเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้
ซึ่งจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลและค่าขนส่ง
จึงมีอีกทางเลือกหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายกับทองคำ คือ Bitcoin ซึ่งมีข้อได้เปรียบเรื่องการเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลจึงแทบไม่มีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา
ขณะเดียว กันราคา Bitcoin ก็มีความสัมพันธ์อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในทิศทางบวกเช่นกัน
ทำให้บริษัทขนาดใหญ่และนักลงทุนสถาบัน
ที่มีสภาพคล่องทางการเงินสูงและไม่ต้องการให้เงินสดถูกด้อยค่า ให้ความสนใจลงทุนใน Bitcoin
และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ เพิ่มขึ้น ตัวอย่างบริษัทที่เริ่มลงทุนใน Bitcoin
เช่น บริษัท MicroStrategy ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจได้ถือ
Bitcoin ไว้ราว 7
หมื่น BTC โดยเป็นเงินทุนสำรองของบริษัทเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
และบริษัท Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
รายงานว่าบริษัทวางแผนลงทุนซื้อ Bitcoin ด้วยเม็ดเงินมูลค่ากว่า 1,500
ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นต้น
• บริษัทถือ
Bitcoin เพื่อเป็นทางเลือกในการชำระเงินรูปแบบใหม่เพื่อรองรับการใช้จ่ายในรูปของสินทรัพย์ดิจิทัล
แม้ว่าปัจจุบันความต้องการ Bitcoin สำหรับการชำระเงินยังไม่แพร่หลายเป็นวงกว้าง
แต่หลายบริษัทเริ่มขยับตัวเพื่อรองรับการชำระเงินด้วย Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น
ๆ ไว้ล่วงหน้า เช่น ในเดือนตุลาคม 2020PayPalผู้ให้บริการการชำระเงินรายใหญ่เปิดให้ผู้ใช้ซื้อสินค้าจากร้านค้าในเครือข่ายด้วยสกุลเงินคริปโท
(Cryptocurrency) ได้
ในปัจจุบันสัดส่วน Bitcoin ของบริษัทขนาดใหญ่
และนักลงทุนสถาบันยังมีไม่มาก โดยกองทุน Bridgewater ประเมินว่าบริษัทและนักลงทุนสถาบัน
ณ เดือนธันวาคม 2020ถือครองมูลค่าBitcoin อยู่ราว
10% ของมูลค่า Bitcoin ทั้งหมดในตลาดแต่บทบาทของบริษัทและนักลงทุนสถาบันในตลาด
Bitcoin ยังถือว่าเพิ่งเริ่มต้นขึ้น
ซึ่งแนวโน้มในอนาคตยังต้องขึ้นอยู่กับความท้าทายของ Bitcoin ในระยะข้างหน้าด้วย
ความท้าทายสำหรับ Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ในอนาคต
อนาคตของ Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ยังมีความท้าทายอีกหลายประเด็นให้ต้องจับตามอง
ทั้งสำหรับเป้าหมายที่จะเป็นตัวกลางการชำระเงินหรือสินทรัพย์ลงทุนทางเลือก
โดยความท้าทายหลักที่ส่งผลต่อกำลังซื้อของนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ประกอบด้วย
1. Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ที่เป็นตัวแทนการชำระเงินอื่นๆ จนถึงปัจจุบันBitcoin ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง และกำลังซื้อในอนาคตส่วนใหญ่ยังคงมีเป้าหมายเพื่อการเก็งกำไรอยู่ เมื่อเปรียบเทียบความผันผวนของสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ เช่น ทองคำ หุ้น หรือพันธบัตรรัฐบาล Bitcoin มีความผันผวน(Volatility) ที่สูงกว่าดัชนีหุ้น S&P500 ทองคำ และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีอยู่ที่ 2, 4และ 14เท่าเป็นสาเหตุให้นักลงทุนสนใจลงทุนเพราะมีโอกาสทำกำไรได้สูงกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น (แต่ก็มีโอกาสขาดทุนสูงกว่าเช่นกัน)เมื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการถือครอง Bitcoin ในแต่ละบัญชีพบว่า ส่วนใหญ่ยังเป็นการถือครองระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี โดยในปี 2020 จำนวนบัญชีที่ถือครอง Bitcoin มากกว่า 5 ปีมีเพียง 22% ของจำนวนบัญชีทั้งหมด
ขณะที่ จำนวนบัญชีที่ถือครอง Bitcoin น้อยกว่า 1 ปีมีถึง 42% ของจำนวนบัญชีทั้งหมด สะท้อนว่านักลงทุนส่วนใหญ่ยังมอง Bitcoin เป็นการเก็งกำไรระยะสั้นมากกว่าการถือครองเพื่อสะสมความมั่งคั่งในระยะยาว (รูปที่ 1 ขวา) ขณะเดียวกัน ก็ทำให้ Bitcoin ยังไม่เป็นที่ไว้วางใจสำหรับการเป็นตัวแทนการชำระเงินหรือการสะสมความมั่งคั่งในระยะยาว และเป็นข้อจำกัดของการเข้ามาของบริษัทขนาดใหญ่และนักลงทุนสถาบันเป็นวงกว้างอย่างไรก็ดี ในอนาคตเมื่อมีผู้เล่นในตลาด Bitcoin เพิ่มขึ้นและมีสภาพคล่องที่มากขึ้นก็อาจมีความเป็นไปได้ที่ความผันผวนดังกล่าวจะลดลงในอนาคต
2. ความไม่แน่นอนในการกำกับดูแลจากภาครัฐ อนาคตของ Bitcoin ขึ้นอยู่กับการยอมรับ
Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลของภาครัฐในแต่ละประเทศทั่วโลก
กำหนดนโยบายของแต่ละประเทศต่างต้องการให้ Bitcoin อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐมากขึ้น
ซึ่งทางเลือกนโยบายที่เป็นไปได้ สามารถแบ่งได้เป็น 3
ทางเลือก ได้แก่
1) ภาครัฐสร้างสภาพแวดล้อมการกำกับดูแลที่ก่อให้เกิดความไว้วางใจในสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น
2) ภาครัฐไม่ไว้วางใจ Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ จนนำไปสู่มาตรการขัดขวางการใช้สินทรัพย์ดังกล่าวหรือ
3) ภาครัฐสร้างสกุลเงินดิจิทัลของตัวเอง
เพื่อเป็นตัวกลางการชำระเงินรูปแบบใหม่
ภาครัฐเริ่มยอมรับ Bitcoin ในแง่สินทรัพย์ลงทุนทางเลือกแต่ยังไม่ไว้วางใจให้
Bitcoin เป็นตัวกลางการชำระเงินในปัจจุบันภาครัฐมีมุมมองต่อ
Bitcoin ออกเป็น2
รูปแบบตามวัตถุประสงค์ของการถือครอง ได้แก่สินทรัพย์ลงทุนทางเลือก
กับตัวกลางการชำระเงินซึ่งภาครัฐมีนโยบายการกำกับทั้งสองรูปแบบที่แตกต่างกัน
นั้นคือสำหรับด้านสินทรัพย์ลงทุนทางเลือก หลายประเทศเลือกใช้นโยบายทางเลือกที่ 1ที่ต้องการสร้างสภาพแวดล้อมการกำกับดูแล
เพื่อให้ Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสินทรัพย์ลงทุนทางเลือกภายใต้การกำกับดูแลของรัฐเช่น
สหรัฐฯ ยุโรป และไทย เป็นต้น
ในทางกลับกัน รัฐบาลส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับ Bitcoin
สำหรับการเป็นตัวกลางการชำระเงินเนื่องจาก Bitcoin ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐบาลประเทศใดประเทศหนึ่ง
จึงอาจเป็นช่องโหว่ในการฟอกเงินหรือการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมายได้ และการยอมรับ Bitcoin
อาจหมายถึงการสูญเสียอำนาจในการกำหนดนโยบายการเงินในอนาคตได้ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลเลือกใช้นโยบายทางเลือกที่
2 คือ ออกมาตรการขัดขวางการใช้ Bitcoin สำหรับการชำระเงิน
หรือนโยบายทางเลือกที่ 3 คือ
รัฐบาลแต่ละประเทศออกสกุลเงินดิจิทัลขึ้นมาเอง เพื่อรวมข้อดีของเทคโนโลยี Blockchain
ของ Bitcoin และเสถียรภาพด้านราคาของสกุลเงินดั้งเดิมเข้าด้วยกัน
โดยไม่สูญเสียอำนาจในการกำหนดนโยบายการเงินอีกด้วย เช่น
ธนาคารกลางจีนได้ออกเงินหยวนดิจิทัล ซึ่งผูกไว้กับเงินหยวนในอัตรา 1:1
เพื่อนำมาใช้แทนที่การใช้เงินในรูปแบบเงินสด เป็นต้น
ทั้งนี้ การกำกับดูแลจากภาครัฐที่เข้มงวดขึ้นอาจส่งผลดีในระยะยาวในแง่สินทรัพย์ลงทุนทางเลือกแต่การขัดขวางหรือการทำสกุลเงินดิจิทัลของรัฐบาลอาจส่งผลให้บทบาทของ Bitcoin ในแง่ของการตัวกลางการชำระเงินลดลง ที่ผ่านมาราคา Bitcoin มีความอ่อนไหวกับมาตรการภาครัฐในทางลบค่อนข้างสูง เนื่องจากผู้ถือครอง Bitcoin รายใหญ่ในปัจจุบันให้ความสำคัญกับความเป็นอิสระจากการกำกับของภาครัฐค่อนข้างมาก หากภาครัฐเข้ามากำกับดูแลมากขึ้น อาจทำให้ผู้ถือครองรายใหญ่เทขาย Bitcoin ออกมาจำนวนมาก ซึ่งสร้างความผันผวนแก่ตลาดในระยะสั้นแต่กฎระเบียบย่อมเป็นผลดีในระยะยาวต่อการยอมรับของบริษัทและนักลงทุนสถาบันในวงกว้างมากขึ้นในทางกลับกันมาตรการขัดขวางการใช้ Bitcoin และการทำสกุลเงินดิจิทัลของรัฐบาลอาจส่งผลให้บทบาทของ Bitcoin ในแง่ของการเป็นตัวกลางการชำระเงินในระยะยาวลดลง จนทำให้กำลังซื้อ Bitcoin เพื่อใช้ในการชำระเงินลดลงในอนาคต
Bitcoinยังมีอายุไม่มากนัก ซึ่งยังต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองอีกมากในการบรรลุเป้าหมายทั้งในแง่ของการเป็นสินทรัพย์ลงทุนทางเลือกหรือตัวกลางการชำระเงินโดยการเข้ามาของบริษัทและนักลงทุนสถาบันในรอบนี้จะช่วยเร่งกระแสความนิยมของ Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ ซึ่งอาจทำให้สภาพคล่องในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลสูงขึ้นจนสร้างเสถียรภาพราคาในตลาดได้และนำไปสู่เป้าหมายของการเป็นสินทรัพย์ลงทุนทางเลือกหรือแม้กระทั่งตัวกลางการชำระเงินในอนาคตได้แต่ระหว่างทางยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งจากกฎระเบียบของภาครัฐแต่ละประเทศและการแข่งขันจากสกุลเงินดิจิทัลโดยรัฐบาลเอง