ใช้ที่ดินเป็นหลักประกันสินเชื่อเพื่อลงทุน ทางเลือกกลุ่ม Wealth บริหารภาษีที่ดิน
2 แบงก์ใหญ่เจาะกลุ่มมั่งคั่งสูง
ดันสินเชื่อเพื่อการลงทุนโดยใช้ที่ดินเป็นหลักประกัน
เป็นเครื่องมือบริหารภาษีที่ดิน รับยุครัฐยกเลิกการลดภาษีที่ดิน
KBank Private Banking
เตรียมวงเงิน 1.5 หมื่นล้าน
นางกรกช อรรถสกุลชัย Chief - Non
Capital Market Solution Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า
ในฐานะผู้นำบริการที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Advisory
Service) สำหรับลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูง ปัจจุบันมี 3
เทรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่น่าจับตามองเพื่อเป็นแนวทางประกอบการตัดสินใจลงทุนหรือพัฒนาที่ดิน
1. การเปลี่ยนแปลงการใช้พื้นที่ในยุคนิวนอร์มอล
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างมาก
การทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
และคาดว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในอนาคต
ซึ่งทำให้การเดินทางเข้ามาทำงานในตัวเมืองมีแนวโน้มลดลง
และส่งผลให้การใช้พื้นที่เปลี่ยนแปลงไป
เช่น
ผู้คนจะอยากอยู่บ้านที่มีพื้นที่มากกว่าการอยู่คอนโดฯ
พื้นที่สำนักงานที่จะมีขนาดเล็กลง ช้อปปิ้งออนไลน์แทนการเดินห้าง
สั่งอาหารมารับประทานที่บ้านแทนการไปนั่งรับประทานที่ร้าน
ทำให้ราคาที่ดินในตัวเมืองชะลอการเติบโต
ในขณะที่ที่ดินรอบนอกตัวเมืองอาจปรับตัวสูงขึ้น
นอกเหนือไปจากทำเลแล้ว
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ศักยภาพของที่ดินนั้นๆ
ว่าสามารถนำไปพัฒนาอะไรได้บ้าง ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนในยุคปัจจุบัน
2. โอกาสลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม
จากวิกฤติโควิด-19 ที่ทำให้หลายๆ ธุรกิจขาดสภาพคล่อง หรือต้องมีการปรับแผน
เปลี่ยนกลยุทธ์จากสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
ทำให้มีการขายทรัพย์สินรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ออกสู่ตลาดมากขึ้น
ในราคาที่จับต้องได้กว่าแต่ก่อน หรือในบางทำเลที่หายากราคาจึงไม่ได้ลดลง
แต่อย่างน้อยก็มีโอกาสให้ผู้สนใจสามารถจับจองเป็นเจ้าของได้
ดังนั้น
จึงถือเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ไม่ชอบความผันผวนในตลาดทุน
และต้องการจะเก็บอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม อย่างไรก็ดี
ก่อนการตัดสินใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต้องไม่ลืมว่าจะมีปัจจัยอย่างภาระภาษีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
3. โอกาสในการในการนำที่ดินมาแปลงเป็นเงินลงทุน
สร้างกระแสเงินสดเพื่อชำระภาษีที่ดิน
จากโจทย์ที่ว่าภาษีที่ดินเป็นภาระเพิ่มขึ้นหลังจากรัฐได้ยกเลิกการลดภาษี 90%
และในอนาคตยังจะปรับตัวสูงขึ้นจากราคาประเมินที่ดินที่เพิ่มขึ้น
และอัตราภาษีที่อาจปรับเพิ่มขึ้น 0.3% ทุก 3 ปี การนำที่ดินมาแปลงเป็นเงินลงทุน
เพื่อแสวงหาผลตอบแทนมาชำระภาษีที่ดิน ผ่านผลิตภัณฑ์ Land Loan for
Investment กำลังได้รับความสนใจในกลุ่มลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูง
ซึ่งเป็นการแปลงสินทรัพย์ที่ดินมาเป็นหลักประกัน เพื่อนำวงเงินสินเชื่อมาลงทุน
เพื่อโอกาสรับผลตอบแทน
โดยการลงทุนที่ KBank Private Banking แนะนำจะต้องสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย
เพียงพอในการจ่ายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างด้วย
นางกรกชกล่าวอีกว่า
การแปลงทรัพย์สินที่ดินมาเป็นสินเชื่อเพื่อการลงทุนโดยมีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกัน
(Land Loan for Investment) ตั้งแต่การคำนวณภาษีและดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย
ดำเนินการจัดหาเงินทุน
ตลอดจนบริหารจัดการการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนตามเป้าหมายที่กำหนด
นอกจากนี้
ยังได้เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ลูกค้า
ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่สามารถทำกำไรในภาวะตลาดแกว่งตัวในกรอบแคบๆ คือ
หุ้นกู้อนุพันธ์ KIKO (Knock-In Knock-Out Structured Note) ที่ให้ผลตอบแทนคาดหวังเฉลี่ยสูงถึง
8-12% ต่อปี โดยเป็นอัตราที่สูงกว่าอัตราเฉลี่ยของดอกเบี้ยสินเชื่อ Land
Loan for Investment โดยปัจจุบันมีพอร์ตสะสมอยู่ที่ราว 2.5 หมื่นล้านบาท
และฐานลูกค้าประมาณ 150 ราย
“ความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ Land Loan for
Investment ในปีที่ผ่านมา ทำให้ในปี 2565 KBank
Private Banking ตั้งเป้ายอดปล่อยสินเชื่อสูงขึ้น
โดยได้เตรียมวงเงินราว 1-1.5 หมื่นล้านบาท
ซึ่งคาดว่าในปีนี้น่าจะได้ผลตอบรับที่ดีเช่นเดียวกัน
เนื่องจากผู้ถือครองที่ดินตื่นตัวอย่างมาก
จากการที่รัฐบาลได้ประกาศยกเลิกการปรับลดภาษีที่ดินสิ่งปลูกสร้างไป”
นอกจากนี้
จากนโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาริมทรัพย์
ไม่ว่าจะเป็น การสร้างจุดเชื่อมต่อ (Hub) ระหว่างขนส่งสาธารณะ การสร้างสวน 15
นาที รวมถึงการพัฒนาห้องพักชั่วคราว ซึ่ง KBank Private Banking มองว่า
หากนโยบายดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นจริง และจัดการได้ตามแผน
จะทำให้ความต้องการอสังหาฯ มีมากขึ้น การพัฒนาอสังหาฯ ขยายวงกว้าง
มูลค่าที่ดินก็เติบโตขึ้น และยังช่วยลดรายจ่ายด้านภาษีให้กับเจ้าของที่ดินอีกด้วย
“KBank Private Banking ในฐานะผู้ให้บริการให้คำปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์แบบองค์รวม
ให้คำแนะนำแก่ผู้ครอบครองที่ดินว่าด้วยสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันควรหาทางสร้างรายได้จากที่ดินที่ถือครองเพื่อชำระภาษี
ผ่านผลิตภัณฑ์ Land Loan for Investment และหาทางลดภาระทางด้านภาษี
ผ่านการเข้าร่วมโครงการภาครัฐต่างๆ เพื่องดเว้นการเสียภาษี เป็นต้น”
อย่างไรก็ดี การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันมีปัจจัยหลายอย่างที่ผู้ถือครองที่ดินและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องปรับตัวให้เท่าทันกับตลาด
ซึ่งไม่ต่างกับการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ
ที่มีทั้งผลตอบแทนที่น่าสนใจและความเสี่ยงที่ต้องระวัง
ผู้ลงทุนควรศึกษาให้รอบด้านหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อสร้างการเติบโตให้กับสินทรัพย์ที่มี
และไม่ติดกับดักการลงทุน
SCB CIO ชี้ 3 ข้อดี
วางเป้าหมาย 1 หมื่นล้าน
นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่
ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment office (SCB CIO ) ธนาคารไทยพาณิชย์
เปิดเผยว่า นักลงทุนที่ถือครองสินทรัพย์ทางการเงินและอสังหาริมทรัพย์
ในปัจจุบันส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบทางลบจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด
เงินเฟ้อที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น
และภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เริ่มเรียกเก็บเต็มจำนวนในปีนี้
ส่วนปัจจัยต่างประเทศจากความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบเชิงภูมิศาสตร์ (Geopolitical
Risks) และความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงห้าเดือนที่ผ่านมา
ส่งผลให้นักลงทุนที่มีความมั่งคั่งระดับสูง (High
Net Worth) มองหาสภาพคล่องในสินทรัพย์ที่ถือครองเพื่อนำเงินไปลงทุนสร้างรายได้
และกระจายความเสี่ยง โดยมีวัตถุประสงค์ที่ไม่ต้องการขายสินทรัพย์ที่ถืออยู่
เพราะอาจทำให้เสียโอกาสหากมูลค่าสินทรัพย์ที่ถือครองมีการปรับตัวขึ้นในอนาคต
สำหรับสินทรัพย์ของนักลงทุนที่มีความมั่งคั่งระดับสูงถือครอง
ได้แก่ สินทรัพย์ประเภทที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ และหุ้นกู้ เป็นต้น
ซึ่งสินทรัพย์ดังกล่าวสามารถนำมาจำนองกับธนาคาร
โดยอยู่ภายใต้ผลิตภัณฑ์สินเชื่อประเภท Wealth Lending Products ประกอบด้วย
Property Backed Loan โดยการนำสินทรัพย์ประเภทที่ดิน
หรืออสังหาริมทรัพย์มาจำนองกับธนาคาร และ Lombard Loan เป็นการนำหลักทรัพย์
ประเภท หุ้นกู้ มาจำนองกับธนาคาร
โดยธนาคารจะปล่อยสินเชื่อเงินกู้ให้กับนักลงทุน
ในอัตราดอกเบี้ยที่น่าสนใจ ระหว่าง 2.5-4% ต่อปี ขึ้นกับระยะเวลาชำระคืนเงินต้น
ซึ่งเงินกู้ที่นักลงทุนได้รับจะนำมาลงทุนในผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย
ทั้งผลิตภัณฑ์ของธนาคารและบริษัทในเครือ เช่น SCB Securities, SCB Asset
Management และ SCB Julius Bar โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนของธนาคารเป็นที่ปรึกษาและแนะนำการลงทุน
(Investment Advisor) ผ่าน Investment Portfolio
“จะมีการวางเป้าหมายผลตอบแทนให้เหมาะสมกับนักลงทุนแต่ละราย
บนพื้นฐานความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Appetite) เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้งอกเงย
ดีกว่าปล่อยที่ดินรกร้างหรือ ถือหลักทรัพย์ที่มูลค่าลดลงตามภาวะตลาด
แม้นักลงทุนจะต้องเสียดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่างๆ ก็ตาม
แต่ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนสามารถต่อยอดความมั่งคั่งให้กับพอร์ตการลงทุนได้อีกด้วย
จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยให้นักลงทุนมีเงินหมุนเวียนในการลงทุน”
นายศรชัยกล่าวอีกว่า สินเชื่อ Wealth
Lending Product เป็นเครื่องมือที่ช่วยแก้ปัญหาในเรื่องต่างๆ
ดังนี้
1. เพื่อใช้จ่ายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต
โดยเฉพาะที่ดินรกร้างซึ่งจะได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีที่ปรับตัวสูงขึ้นในทุกสามปี
ตามโครงสร้างของอัตราเพดาน และราคาประเมินกรมที่ดินที่คาดว่าจะปรับสูงขึ้นในอนาคต
หลังจากมีการเลื่อนการประกาศราคาประเมินใหม่ เพราะสถานการณ์โควิด
ราคาประเมินครั้งสุดท้ายจัดทำขึ้นในรอบปี 2559-2562
โดยคาดว่าจะมีการประกาศราคาประเมินใหม่ในต้นปี 2566
ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้
ส่งผลให้นักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่มีแผนลงทุนหรือใช้ประโยชน์บนที่ดิน
ทำให้เกิดค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) และค่าภาษีที่ดินที่เกิดขึ้นทุกปี
ดังนั้น นักลงทุนสามารถนำที่ดินมาขอสินเชื่อ Property
Backed Loan โดยนำเงินกู้ดังกล่าวไปลงทุนสร้างผลตอบแทน
เพื่อนำมาชำระภาษีและลดความกังวลในเรื่องของการหาผู้เช่า
การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และการปรับปรุงที่ดิน โดยไม่เสียโอกาสหากอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต
หรือขายทำกำไรเมื่อโอกาสมาถึง นอกจากนี้ สินเชื่อ Property Backed Loan มีความยืดหยุ่น
นักลงทุนสามารถชำระคืนเงินกู้ก่อนครบกำหนดได้
โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมในการชำระคืนก่อนกำหนด ยกเว้น Refinance กับธนาคารอื่น
2. ใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้เงินเฟ้อ
ลูกค้าสามารถนำหุ้นกู้ ซึ่งได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
ส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ลดลง มาเป็นหลักประกันเพื่อขอสินเชื่อ Lombard โดยนำเงินกู้ที่ได้ไปลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่มีการปรับตัวตามอัตราเงินเฟ้อ
เช่น กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment
Trust หรือ REIT) บางประเภท
เพื่อช่วยเพิ่มผลตอบแทนของพอร์ต หรือช่วยลดผลกระทบของพอร์ตในช่วงนี้ได้
3. ใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสภาพคล่องและไม่พลาดเมื่อจังหวะการลงทุนมาถึง
นักลงทุนอาจจะไม่ต้องการขายหลักทรัพย์ ประเภทหุ้นกู้ ที่มีผลตอบแทนติดลบในช่วงนี้
เนื่องจากสภาวะตลาดที่ผันผวน และคาดว่าราคาของหลักทรัพย์
จะมีการปรับตัวขึ้นในอนาคต โดยได้เห็นโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เช่น Private
Assets หรือ หุ้นกู้อนุพันธ์
ซึ่งให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ และช่วยเพิ่มผลตอบแทน หรือ
ลดผลขาดทุนของพอร์ตโฟลิโอในปัจจุบันได้
โดยนักลงทุนสามารถนำหลักทรัพย์มาขอสินเชื่อ Lombard
กับธนาคารได้ เพื่อนำเงินกู้ไปลงทุน
ซี่งจะอยู่ภายใต้การดูแลของทีมที่ปรึกษาการลงทุน
“สินเชื่อ Wealth Lending Product ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนที่มีความมั่งคั่งระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
โดยในปีนี้มียอดการขอสินเชื่อเพื่อสร้างกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ
20% โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตสำหรับปีนี้ไว้ขั้นต่ำที่ 10,000 ล้านบาท
และผลตอบแทนคาดการณ์สำหรับความเสี่ยงระดับกลางของพอร์ตการลงทุน มีโอกาสอยู่ที่ประมาณ
7-8% ต่อปี นอกจากนี้
ทีมที่ปรึกษาการลงทุนสามารถนำเสนอการลงทุนในหลากหลายรูปแบบให้เหมาะสมกับความต้องการของนักลงทุนที่มาใช้สินเชื่อ
Wealth Lending”
UPDATE อัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างปี 2565
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่
13 มี.ค. 2562 และเริ่มเก็บภาษีตั้งแต่ 1 ม.ค. 2563 โดยเมื่อปี 2564
รัฐบาลได้ประกาศให้ลดภาษี 90%
ของภาษีที่ต้องชำระเพื่อช่วยเหลือประชาชนจากผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19
ทำให้มีภาษีที่ต้องชำระเพียง 10% โดยในปี 2565 ได้กลับมาจัดเก็บภาษีในอัตราปกติ
100%
ทั้งนี้
ตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ.2562
ต้องประกาศอัตราภาษีที่จะใช้จัดเก็บในปี 2565
เนื่องจากอัตราภาษีเดิมที่กำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลกำหนดให้ใช้ได้เฉพาะปี 2563-2564
แต่เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19
รัฐบาลจึงคงอัตราภาษีที่ดินแบบเดิมเช่นเดียวกับปีภาษี 2563-2564 นอกจากนี้ ในปี
2565 ผู้เสียภาษียังคงได้รับการบรรเทาภาระภาษีหลายกรณี ได้แก่
1. ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของเป็นบุคคลธรรมดาและใช้ประกอบเกษตรกรรมได้รับยกเว้นภาษี
2. ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยที่เจ้าของเป็นบุคคลธรรมดา
และมีชื่อในทะเบียนบ้านในวันที่ 1 มกราคม จะได้รับยกเว้นมูลค่าฐานภาษีไม่เกิน 50
ล้านบาท
3. กรณีที่เป็นเจ้าของเฉพาะสิ่งปลูกสร้างจะได้รับยกเว้นมูลค่าฐานภาษีสำหรับสิ่งปลูกสร้างที่มีมูลค่าไม่เกิน
10 ล้านบาท
ทั้งนี้ บุคคลที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินดังกล่าวที่มีมูลค่าเกิน
50 ล้านบาท หรือเกิน 10 ล้านบาท แล้วแต่กรณี
จะเสียภาษีเต็มอัตราเฉพาะส่วนที่เกินเท่านั้น
4. การผ่อนปรนภาระภาษีให้แก่ผู้เสียภาษีกรณีมีภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง สูงกว่าค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินและภาษีบำรุงท้องที่ที่เคยชำระในปี 2562 จะบรรเทาภาระให้โดยเสียภาษีเท่ากับค่าภาษีปี 2562 บวกกับ 75% ของส่วนต่างค่าภาษีปี 2565 กับปี 2562