Donald Trump ช่างเป็นอะไรที่เหลือเชื่อ ในโลกอันวิปริตนี้
เมื่อวันที่ 18
กันยายน 2562 หลัง Fed
ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ไปอยู่ที่
1.75-2.00% ต่อปี...ท่านลุงไดโน่
ทรัมพ์ ก็คว้ามือถือมาทวิตข้อความอย่างเมามันว่า “ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ
เจอโรม พาวเวลล์ และ Fed ล้มเหลว ไม่มีกึ๋น ไร้สติ
และไร้วิสัยทัศน์”
ที่ท่านลุงไดโน่ ทรัมพ์ โว้กว้าก ด่าทอ
ประธาน Fed
ออกสื่ออยู่เรื่อยๆ อย่างแสนจะมีกึ๋น มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน
เปี่ยมล้นไปด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกลผ่านปลายนิ้ว ก็เพราะขัดใจที่ Fed ไม่ลดดอกเบี้ยให้เหลือ 1.00% เร็วๆ แม้ว่าอัตรานี้จะต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ
จึงน่าคิดว่า ในเมื่อตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ
โดยรวมๆ ก็ยังดูพอไหว แล้วทำไมท่านลุงไดโน่ถึงร่ำร้องให้ Fed หั่นดอกเบี้ยเยอะๆ เร็วๆ ไม่ใช่ทีละ 0.25% แบบที่ทำเสมอๆ
เศรษฐกิจโลกกำลังจะถดถอยใช่ไหม
หรือท่านลุงไดโน่ของเราเขาหวังผลทางการเมืองเพื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปลายปีหน้าของประเทศที่อยากจะ
Great
Again อีกครั้ง
แล้วฟากกูรูนักเศรษฐศาสตร์หลายคนทั่วโลกเขาคิดอย่างไร
เขาต่างพากันกังวลว่าเศรษฐกิจโลกกำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย
(Recession)
เพราะมีสัญญาณบ่งชี้หลายอย่าง เช่น สงครามการค้าของท่านลุงไดโน่กับเถ้าแก่สี
ที่ทำให้เศรษฐกิจการค้าโลกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หรือเรื่องที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากอียูอย่างไร
แถมยังมีสัญญาณเตือนจาก Inverted Yield Curve
หากถามข้าพเจ้าซึ่งไม่ใช่ “กูรู”
แต่เป็น “กูมายรู” ก็ต้องสารภาพว่า
ไม่รู้จริงๆ แต่มีความเชื่อลึกๆ ว่า ไม่มีอะไรที่จะดีไปได้จนชั่วนิรันดร์
มันต้องมีสะดุด ชะงักงัน หรือถอยหลังในบางช่วงเป็นธรรมดา
เพราะจะเป็นไปได้อย่างไรที่เศรษฐกิจจะมีแต่เติบโตขยายตัวไปได้เรื่อยๆ
ทุกปี คงต้องมีการสะดุดหยุดพักบ้าง ก่อนที่จะเติบโตใหม่เมื่อมนุษยชาติแก้ไขปัญหาได้...นี่คือเรื่อง
Normal...การที่ธุรกิจกับตลาดจะเคลื่อนที่ไปตามวงจรเศรษฐกิจ โดยในภาพรวมจะไม่มี Sector
ไหน และจะไม่มีสินทรัพย์ใดที่จะรอดพ้นไปจากวงจรนี้ได้ ก็เป็นเรื่อง Normal
สมมตินะ สมมติว่า Recession จะมาจริงๆ ในปีสองปีข้างหน้า ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อเรื่อง Economic
Cycle…แล้วทางประเทศที่จะ Great Again เขาจะทำอะไร
Fed
ในฐานะธนาคารสหรัฐฯ อาจจะแก้ไขด้วยวิธีเดิมๆ เหมือนที่เคยทำมาแล้ว 2
ครั้งในปี 2001 กับ 2008
แต่มีความต่างถ้าจะเกิดอีก เพราะในปี 2001 กับ 2008 อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ยังอยู่ในระดับสูง คือไม่ต่ำกว่า 5% จึงเหลือพื้นที่ให้ลดอัตราดอกเบี้ยได้มาก
ในขณะที่วันนี้เท่ากับ 1.75-2.00%...เรียกอย่างเท่ๆ คือ เหลือกระสุนในมือน้อย
หาก Fed ลดดอกเบี้ยลงไปจนเหลือ 1.00% ตามที่ท่านลุงไดโน่ปรารถนา
แล้วยังไปไม่ไหว Fed ก็แทบจะไม่เหลือพื้นที่ที่จะใช้อัตราดอกเบี้ยมาช่วยได้
1. พิมพ์เงินต่อไปจนกว่าผู้คนจะหมดความเชื่อถือในเงินสกุลนั้น
หรือ
2. รบเถิด อรชุน...ใช้สงครามล้างปัญหาซะ หรือ
3. โยนผ้าขาวทิ้ง แล้วปล่อยให้ฟองสบู่แตก
ยอมรับสภาพ เพื่อตายแล้วเกิดใหม่
คนปกติน่าจะเลือกข้อ
3
แต่อเมริกาไม่ใช่คนปกติ เขาคือมหาเทพ เขาจึงน่าจะเลือกข้อ 1 ก่อน
หากไม่ไหวถึงจะตามมาด้วยข้อ 2 ซึ่งทำให้เราเข้าใจได้ว่าทำไมอเมริกาถึงขยายกองทัพไม่หยุดยั้ง
ก็เพราะเขาไม่โง่ เขารู้ว่าหากข้อ 1 ช่วยไม่ไหว เขาต้องป้องกันสุดชีวิตมิให้ไปถึงข้อ
3 ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าคาดการณ์ว่า ภายใน 10 ปี เราจะยังไม่ได้เห็นการโยนผ้าขาวรับสภาพให้เป็นตามข้อ
3 ของสหรัฐฯ
สำหรับข้อ 1 นั้น เราอาจเห็น QE ในอีกรูปแบบที่กลั่นกรองจากมันสมองของอดีต Investment Bankers
ที่รับตำแหน่งทางการเมืองในทำเนียบขาว ใน Fed...เพราะเมื่อเครื่องช่วยชีวิตจากอัตราดอกเบี้ยเหลือกระสุนเพียงน้อยนิด…Fed
ก็คงจะทำอะไรที่พิสดารพันลึกขึ้นมาอีกตามเสียงเรียกร้องที่มีไปยังสภาคองเกรสและประธานาธิบดีที่ตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าเป็นใคร
แล้วนโยบายการคลังก็จะถูกนำมาใช้เพื่อช่วยต่อชีพจร
Fed
ก็จะพิมพ์เงินครั้งใหญ่อีก
แล้วคองเกรสก็จะใช้เงินมากมายเหมือนเดิมหรือยิ่งกว่าเดิม การขาดดุลคงจะเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว
จนหนี้ภาครัฐทะลุ 40 ล้านล้านดอลลาร์ จากปัจจุบัน 24 ล้านล้านดอลลาร์
But who cares ? ตราบใดที่ตลาดหุ้นยังคงทำเงินให้กับบรรดา
Elite ทั้งหลายจำนวน 1% ได้
ใครจะไปแคร์กับคน 99%
จะว่าไปแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยเข้าใจว่า
ประเทศที่มีหนี้สินมากมายจะ Great Again ได้อย่างไร
ในเมื่อหนี้สินนั้นมีแต่โตขึ้น ไม่มีลด ในเมื่อรายได้ไม่พอจ่ายหนี้คืนในแต่ละงวด แต่จ่ายคืนได้ด้วยการพิมพ์แบงก์เอง
มีธนาคารไหนจะยอมให้ข้าพเจ้ากู้ แล้วยอมรับเงินที่ข้าพเจ้าพิมพ์ออกมาเองไปจ่ายคืนบ้างไหม
ประเทศพี่ใหญ่ของโลก ใช้เงินที่ตัวเองไม่ได้หามา
ไม่มีการออม แค่เสกเงินออกมาจากแท่นพิมพ์ก็เอาไปใช้หนี้ได้ นี่ก็คือ Faked Money ดีๆ นั่นเอง แต่เขายังโชคดีผีคุ้มเพราะเป็นจำนวนเงินมหาศาลที่มีต้นทุนต่ำสนิท
แถมยังกลายเป็นเงินจริงที่ใช้ซื้อหาทรัพยากรมีค่าได้ทั่วโลก โดยที่เขาเป็นประเทศที่มีแสนยานุภาพทางการรบและทำลายล้างสูงยิ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครจะอยากออมในเมื่อดอกเบี้ยติ๊ดเดียว
และจะมีธุรกิจใดที่อยากกู้จากผู้ออมจริง ในเมื่อกู้จาก Fed ได้โดยแทบไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย
เมื่อเป็นอย่างนี้ใครจะยอมเสี่ยงไปสร้างโรงงาน
ซื้อเครื่องจักรเครื่องมือต่างๆ ใครจะทุ่มเทอบรมพนักงาน และทำให้ลูกค้าพึงพอใจ
ในเมื่อเอาเงินไปซื้อหุ้นก็รวยแล้ว ไม่เหนื่อยเลย ซื้อหุ้นตัวเองก็ได้แบบที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐฯ
ตอนนี้ที่บริษัทจดทะเบียนเอาเงินสดที่ล้นเหลือไปซื้อหุ้นตัวเอง
เศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งจนน่าจะรองรับวิกฤติจากภายนอกได้
เพราะเรามีทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ส่งผลให้บาทแข็งกว่าค่าเงินอื่นๆ ทั้งภูมิภาค เรียกว่าโดยรวมๆ
เราแข็งแรงกว่าช่วงปี 2540
มาก และมาตรการต่างๆ
ที่รัฐบาลทยอยออกมาเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจรากหญ้า และกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย
น่าจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้
เรียกว่า โดยภาพรวมๆ แล้ว
เราอาจโดนผลพวงของการถดถอยในอนาคตที่เขาคาดกันว่าจะเกิดขึ้นในอีกสัก 1-2 ปีข้างหน้า แต่เราจะรองรับได้ดีกว่าอดีตในช่วงต้มยำกุ้ง
แต่นั่นคือภาพรวมๆ หรือมหภาค
ซึ่งถ้ามองไปที่จุลภาคเป็นรายย่อยทั้งธุรกิจและคนแล้ว
เราพบว่ายังไม่ต้องรอให้เจอภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในปีสองปีข้างหน้า ตอนนี้หลายคน
หลายธุรกิจเล็กๆ เริ่มล้มหายตายจากกันไปเรื่อยๆ จากกำลังซื้อไม่มี
และจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค กับพลัง SME ที่ด้อยกว่ารายยักษ์อย่างเทียบดันไม่ได้
ช่วงวิกฤติปี 2540 หรือต้มยำกุ้ง ทำไมแบงก์ชาติและคลังถึงไม่ช่วยภาคการเงิน ภาคธุรกิจ ทำไมปล่อยให้ล้มละลายไปมากมาย ?
ช่วงต้มยำกุ้ง
ฝรั่งกดดันไม่ให้เราโอบอุ้มกิจการและสถาบันการเงินที่ประสบภัย ด้วยเหตุผลว่า จะผิดวินัยการเงินการคลัง
ต้องปล่อยให้ธุรกิจหลายแห่งล้มละลายตายจากไป โดยบอกว่านี่คือเรื่อง Normal พอถึงช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ในบ้านตัวเอง ฝรั่งกลับบอกว่า ไม่ได้แล้ว
ต้องข่วยอุ้ม กดอัตราดอกเบี้ยจนเป็น 0% อัดฉีดเงินกงเต๊กเข้าระบบไปช่วยในรูปของ
QE แล้วบอกว่านี่คือ New Normal
มาวันนี้ นักเศรษฐศาสตร์ต่างพากันกังวลว่าธนาคารกลางหลายประเทศจะทำอะไรไม่ได้มากนัก
ในการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจซบเซา เพราะอัตราดอกเบี้ยของโลกอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว
แถมยังติดลบในบางประเทศ จะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก็ช่วยไม่ได้มาก
และบางประเทศก็ไม่มีจะให้ลด
ดูๆ ไปแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าไม่ควรกังวล
เพราะถ้าเกิดวิกฤติใหม่ขึ้นอีก ในที่สุด บรรดานักการเงิน นักเศรษฐศาสตร์
ที่จบตำราเดียวกัน ทำงานอยู่ใน White House กับ FED
เขาคงออกเครื่องมือประหลาดๆ ที่ Abnormal ออกมาอีกจนได้