ยุคทอง (Golden Age) จบไปแล้ว กลายเป็นยุคเทา (Grey Age)
ในทางประชากรศาสตร์ Baby Boomer คือช่วงที่มีเด็กแห่กันมาเกิดเป็นจำนวนมากในช่วงสั้นๆ
โดยช่วงที่มี Baby Boom แบบจัดหนักคือช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่
2 ที่เด็กๆ พากันแห่กันไปเกิดในประเทศผู้ชนะสงครามกันมากมาย
เช่น Baby Boomer ชาวอเมริกันก็พากันมาเกิดในช่วง 1946-1964 หลังทหารอเมริกันปลดประจำการและกลับบ้าน ในขณะที่แคนาดาเกิด Baby
Boomer ในช่วงปี 1947-1966
เพราะทหารแคนาดาปลดประจำการหลังทหารอเมริกัน
กลุ่ม Baby
Boomer ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
เริ่มทยอยเกษียณอายุกันมาระยะหนึ่งแล้ว
แต่ด้วยจำนวนประชากรผู้มากวัยวุฒิของประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น มีมากกว่าผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน
แถมการแพทย์ก็ก้าวหน้าทำให้อายุยืนกว่าสมัยก่อน และคนเกษียณส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถสร้างรายได้
แถมยังบริโภคน้อยลง
การเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ครั้งใหญ่นี้
จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตจนถึงขั้นขาดทุนได้ในอนาคต และจะกระทบต่อเศรษฐกิจ
เพราะ Baby
Boomer ที่เคยทำให้เกิดยุคทองทางเศรษฐกิจเพราะเป็นกำลังซื้อหลักของประเทศ
กำลังเลื่อนไปสู่วัยที่มีแต่ใช้เงินเก็บ หาเงินเพิ่มไม่ได้ และการจบของยุคทองก็คือ
การที่กลุ่มคนจำนวนมากในวัย Baby Boomer เข้าสู่วัยชรา
ไม่ใช่วัยทำงาน ไม่ใช่ผู้สร้างผลผลิตให้ประเทศต่อไป ยุคทอง (Golden Age) จึงจบไปแล้ว กลายเป็นยุคเทา (Grey Age) ตามสีของเส้นผม
เมื่อมาผนวกกับเรื่องที่คนรุ่นหลังๆ
ไม่อยากสมรส ไม่ยอมมีบุตร
ก็ยิ่งทำให้สัดส่วนประชากรสูงวัยจะมากกว่าสัดส่วนคนมีแรงทำงาน ซึ่งถ้ารัฐไม่วางแผนจัดการโครงสร้างประชากรให้ดี
ผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจจะร้ายแรงกว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างสึนามิ
ความจริงที่น่าเศร้าก็คือ
อาจจะมีคนชราเพียง 1% ที่สามารถเลี้ยงดูตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสวัสดิการรัฐ และน่าเศร้าที่สุดถ้าไม่มองในแง่สังคมและศีลธรรมเพราะสรุปได้ว่า
"แม้จะเคยสร้างผลผลิตจนเกิดคุณประโยชน์แก่ชาติแค่ไหน
เมื่อแก่แล้วผู้ชราก็กลายเป็นตัวถ่วงเศรษฐกิจนั่นเอง"
มองย้อนไปในอดีต
ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าเมื่อชนเผ่าต่างๆ ย้ายถิ่นฐานทำกิน
ก็จะทิ้งผู้เฒ่าไว้ข้างหลัง
บางชนเผ่าเอาคนชราไปทิ้งให้ตายข้างนอกท่ามกลางหิมะและน้ำแข็ง
จะได้ไม่เปลืองอาหารที่ต้องเก็บไว้ให้คนหนุ่มสาวกับเด็กๆ
ที่น่าประทับใจก็คือ
คนชราเหล่านี้เขาน้อมรับชะตากรรมอย่างเสียสละและสง่างามที่สุด
เพราะแม้ในช่วงที่เผชิญกับความอดอยาก
ผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะยอมอดเพื่อให้ลูกหลานได้มีชีวิตอยู่ต่อไป
กลับมามองยุคปัจจุบันก็พบว่า
คนชราส่วนใหญ่กำลังพึ่งพาหรือคาดหวังว่าจะพึ่งพาระบบสวัสดิการของรัฐในการเลี้ยงชีพในวัยชรา
ซึ่งทำให้กังวลว่าระบบสวัสดิการรัฐ หรือ Social Welfare อย่างประกันสังคม
จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน เพราะในเกือบทุกประเทศนั้น เป็นระบบที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ทำงานได้ในขณะที่เศรษฐกิจมีการเติบโต
มีจำนวนประชากรวัยทำงานที่ขยายตัวเท่านั้น แถมยังเป็นระบบ Unfunded เหมือนแชร์ลูกโซ่ คือรัฐบาลไม่ได้กันเงินจากงบประมาณใส่ลงไปให้ครบ เพียงแต่ตั้งงบประมาณใช้จ่ายเป็นปีต่อปี
ดังนั้น ระบบนี้จะอยู่ได้ตราบเท่าที่มีคนในวัยทำงานส่งเงินเข้าระบบ
หากคนวัยทำงานน้อย คนแก่เยอะ ก็จะไม่พอ
ถ้ารัฐบาลสัญญาไว้ว่าจะให้เงิน
แต่แล้วไม่ให้ เพราะไม่มีเงินพอ จะเกิดอะไรขึ้น จะเกิด Social Unrest ปล้นชิงอาหารและทรัพยากรกันอย่างที่บางประเทศกำลังเผชิญอยู่ไหม
แล้วเราจะแก้ปัญหานี้ หรือลดระดับของปัญหานี้อย่างไร
สำหรับคนที่ยังไม่ชรา
ยังไม่เกษียณ ท่านจะต้องเลิกคิดว่าจะเอาชีวิตบั้นปลายไปพึ่งพาระบบรัฐสวัสดิการเป็นหลักได้แล้ว
เพราะระบบของเราก็ Unfunded
เช่นกัน ท่านต้องเตรียมแผนเพื่อตนเอง และไม่มีรัฐบาลที่ไหนจะมีเงินเพียงพอมาค้ำจุนสวัสดิภาพของคนชราทุกท่านได้เพียงพอ
ในส่วนของรัฐบาลชุดใหม่นี้นั้น
ขอกราบงามๆ สามครั้ง เพื่อขอให้ท่านให้ความสำคัญกับเรื่องออกกฎหมายให้ภาคธุรกิจกับแรงงานมีการออมเงินไว้เงินเลี้ยงตนเองในวัยชราในลำดับต้นๆ
โดยให้เรื่องนี้มาก่อนเรื่องอื่นใด … รอเรื่องนี้มาจะ 40
ปีแล้ว เสนอไปหลายครั้งหลายยุคแล้ว ก็ยังคาราคาซังไม่เกิดสักที
หากมีวิสัยทัศน์มองเห็นปัญหาในอนาคตอันใกล้
มีความกล้า มีความจริงใจ ก็ขอให้เร่งออกกฎหมายบังคับใช้เสียทีเถิด
เพราะระบบที่เสนอไปนั้น รัฐบาลไม่ต้องควักเงินมาสนับสนุนแม้แต่เพียงบาทเดียว