จัดพอร์ตระยะยาวแบบ “บูรพาไม่แพ้”
จากนี้ไปจะเป็นอย่างไร?
ธปท.ระบุว่า
เศรษฐกิจไทยน่าจะต่ำสุดปีนี้แล้วในไตรมาส 2 ปีนี้ และเมื่อเราพิจารณาจากพฤติกรรมของพวกเรากันเองก็คาดว่า
น่าจะไม่มีการระบาดของ Covid-19 รอบสองในประเทศ
เพราะหากรัฐออกมาตรการที่ประชาชนมองว่าสุ่มเสี่ยงเกินไป
ก็จะออกมาส่งเสียงคัดค้านผ่าน Social Media กันระงม
แต่ในมุมมองด้านเศรษฐกิจและการลงทุน
คำถามก็คือ แล้วใครจะรอดพ้นวิกฤติสุขภาพที่ลามไปยังกระเป๋าเงินของภาคธุรกิจกับภาคครัวเรือนบ้าง เพราะต่อให้มีวัคซีนที่ป้องกันได้
ต่อให้พบยาที่รักษาอาการได้ในกลางปีหน้า กว่าจึงเวลานั้น ใครจะรอด
ครั้นจะนำเงินลงทุน
เงินเก็บที่มีอยู่ไปจมอยู่กับการฝากเงิน หรือพันธบัตรรัฐบาล
หุ้นกู้เอกชนที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะลงทุนตรงหรือผ่านกองทุนรวม
ดอกเบี้ยและผลตอบแทนก็น้อยนิด
และเราเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยจะต่ำเตี้ยไปอีกนานหลายปี...
หลายคนก็เลยไปซื้อหุ้นกู้เอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนสูงลิบเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันกัน
จนขายหมดเกลี้ยงในเวลาไม่นาน
นี่คือปรากฏการณ์ที่เขาเรียกกันส่า “Search for Yield” หรือการไล่ล่าหาผลตอบแทนในการลงทุน (โดยอาจไม่คำนึงถึงความเสี่ยงที่ตามมาด้วย) ซึ่งหากนำเงินส่วนน้อยไปลงทุน หากไม่ได้เงินกลับคืนก็คงไม่ตาย ถ้าไม่ได้ทุ่มเทเงินที่มีลงไปทั้งหมด
ดังนั้น ในแง่การลงทุน จึงมีภาพใหญ่ที่ต้องนำมาพิจารณา
ดังต่อไปนี้
1.เศรษฐกิจไทยแม้อาจจะต่ำสุดแล้วในไตรมาส
แต่ไม่มีตัวบ่งชี้เลยว่าจะโงหัวขึ้นได้รวดเร็ว คำว่า V-Shape จึงเป็นความเพ้อฝันอันเหลวไหล ในขณะที่ ธปท.ระบุว่า จะฟื้นตัวแบบ Nike
(ใช้คำนี้คงจะให้ความหวังบ้าง คือถึงจะลากยาวแต่ก็ค่อยๆ
โงหัวขึ้นทีละนิด ... ดีกว่าบอกว่า L-Shape)
2.ธุรกิจหลายกิจการเริ่มโละคนทำงานออก
หรือเลิกกิจการไปเลยเพราะสายป่านสั้น ขาดเงินหมุนเวียน ไปต่อไม่ไหว โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ทำให้มีคนตกงานมากขึ้น
กำลังซื้อก็หดลงไปด้วย
3.NPL
(Non-performing Loan หรือสินเชื่อด้อยคุณภาพ) จะเพิ่มขึ้นมาก
4.หนี้สินภาครัฐกำลังใกล้ข้อจำกัดที่ห้ามเกิน
60% GDP โอกาสในการกู้เพิ่มด้วยการออกพันธบัตรจึงลดลงจนแทบไม่เหลือ
ในขณะที่ภาคครัวเรือนก็มีหนี้สินเพิ่มขึ้นจนเข้าใกล้ 80% GDP อีกครั้ง และยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงได้
5.พฤติกรรมผู้บริโภคในการกินอยู่
เดินทาง และจับจ่ายใช้สอย จะเปลี่ยนไปไม่น้อย โดยการเข้าถึงสินค้าและบริการผ่านอินเทอร์เน็ตได้รับความนิยมมากขึ้น...คิดดูเอาเองว่าจะกระทบกิจการต่างๆ
อย่างไรบ้าง ทั้งแง่บวกและลบ
6.คนแก่ตายยาก
เด็กเกิดน้อยลง ครอบครัวตัวคนเดียวเพิ่มขึ้น...สัดส่วนคนแก่ต่อประชากรทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นเร็วมาก
ในขณะที่สัดส่วนกำลังแรงงานจะลดลงไปเรื่อยๆ
7.การเมืองระหว่างประเทศยังคลี่คลายได้ยาก
ส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ และเกิดคำถามต่อ Globalization ว่าเหมาะสมหรือไม่
8.กิจการที่จะค่อยๆ
ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากขึ้นในอนาคต เพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ
คือกิจการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีธรรมาภิบาล
9.แนวคิดทุนนิยมที่ทำให้ช่องว่างของคนจนคนรวยถ่างกว้างขึ้นมาโดยตลอด ท่ามกลางระบอบประชาธิปไตยที่ทำให้นักการเมือง รัฐบาล และข้าราชการ ในนานาประเทศ ต้องเกรงใจและออกนโยบายเอื้อต่อทุนขนาดใหญ่ แม้จะเป็นการเอารัดเอาเปรียบคนตัวเล็ก จะทำให้เกิดคำถามในหมู่ประชาชน จนอาจนำไปสู่การต่อต้านทางการเมือง
คำแนะนำการลงทุนระยะยาวสำหรับทุกคน
โดยทั่วไปยังต้องกระจายเงินลงทุนในไปสินทรัพย์หลายประเภท
ระหว่าง 4 กลุ่มได้แก่ หุ้น/ตราสารหนี้-พันธบัตร-เงินฝาก/อสังหาริมทรัพย์-โครงสร้างพื้นฐาน-ทองคำ
(ทั้งในประเทศและต่างประเทศ) โดยจัดสัดส่วนให้เหมาะกับเป้าหมายการเงินระยะยาว อายุ และกำลังเงินของเรา
เพราะในภาวะอย่างนี้เทวดาก็คาดเดาได้ยากว่าอะไรจะมา อะไรจะไป
แต่ถึงเทวดาจะคาดเดาไม่ได้
แต่ข้าพเจ้ามีความเชื่อส่วนตัวว่า มี 2 อุตสาหกรรมที่จะไปได้ดีในระยะยาว
หากติดตามกันมานานคงจำได้ว่า
ในทุกปีข้าพเจ้าจะแนะนำให้มีทองคำในพอร์ตลงทุนเอาไว้บ้าง และในปีก่อนก็เน้นให้เพิ่มเงินสำรองฉุกเฉิน
กับกันเงินสดเพิ่มไว้อีกส่วน เผื่อรับโอกาสในยามตลาดเข้าสู่ End Cycle...ใครเชื่อก็คงจะพอใจกับสิ่งที่เตรียมไว้ล่วงหน้า
ที่สำคัญคือ เมื่อจัดสัดส่วนลงทุนที่เหมาะกับตัวเราโดยคำนึงถึงภาพใหญ่
9 ข้อข้างต้นแล้ว ก็ต้อง “อดทน” ให้เป็น และไม่ขายเงินลงทุนระยะยาวโดยยอมขาดทุน
หากลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพที่ดี มีผู้บริหารเก่งและไม่ใช่พวกขี้โกง
ไม่ใช่หุ้นปั่นเก็งกำไร และไม่ใช่กิจการที่ไม่ยอมปรับตัวกับอนาคตที่จะเปลี่ยนแปลง เพราะหากเป็นของดีจริงแล้ว
เวลาจะช่วยให้ทุกอย่างคลี่คลายได้
ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่
2 ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาพบกับสภาพ Bear Market ที่หุ้นตกกระชากแรงๆ มาแล้ว 12 รอบ โดยขาดทุนเฉลี่ย 35% และเมื่อผ่านไปโดยเฉลี่ยประมาณ 2 ปี ราคาหุ้นก็กลับมา และตามมาด้วย Bull
Market ที่ผลักดันราคาหุ้นให้ทะยานขึ้นไปได้
สำหรับตัวอย่างชัดๆ
ของตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมาเร็วๆ นี้ก็คือ เมื่อดัชนีเหลือกว่า 900 จุด
เพียงพักเดียวก็ขยับขึ้นมาจนอยู่ในระดับกว่า 1,300 จุดได้ แม้นักลงทุนต่างชาติจะยังเทขายหุ้นไทยไม่หยุดติดต่อกันมาหลายปี
แต่ก็มีจำนวนคนหน้าใหม่ที่ซื้อขายหุ้นไทยผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ดี
หากเราลงทุนในหุ้นเพียงตัวสองตัว แล้วเกิดกิจการนั้นๆ ไปไม่รอดจริงๆ
เราอาจไม่ได้เงินลงทุนคืนสักบาทก็ได้ ดังนั้น สำหรับคนทั่วไปแล้วการลงทุนผ่านกองทุนรวมจะเสี่ยงน้อยกว่า
เพราะกองทุนมีการกระจายการลงทุนในหุ้นหลายตัว
ส่วนคำถามที่ว่าควรนำเงินไปลงทุนต่างประเทศไหม แล้วควรลงทุนที่ไหน ตอบได้ว่าควรกระจายเงินลงทุนไปต่างประเทศด้วย แต่ส่วนตัวแล้วข้พเจ้าไม่ชอบมองเป็นประเทศ เพราะสามารถ้กิดความผันผวนแรงๆ
ได้ทุกเมื่อ ข้าพเจ้าชอบลงทุนเป็น Sector มากกว่า
ซึ่ง
2 Sector ที่ข้าพเจ้าชอบก็คือ Healthcare กับ Technology เหตุผลคงเข้าใจกันดีแล้ว
ไม่ต้องอธิบายมาก
นอกจากนี้ ก็ทบทวนว่าตนเองเข้มแข็งพอที่จะไม่ขายทิ้งยามหุ้นตกหนักได้หรือไม่ หากไม่ ก็ต้องยอมปรับแผนและสัดส่วนหุ้นให้ลดน้อยลง (แม้ตอนที่ทำแบบทดสอบจะบอกว่าหุ้นตกหนักไป 30-40% ก็รับไหว เพื่อผลที่ดีกว่าในระยะยาว แต่พอหุ้นตกหนักจริงๆ ก็มีบางคนร้องกรี๊ดด รับไม่ได้... แบบนี้ต้องลด)
คำแนะนำเฉพาะสำหรับคนทำงานผู้ยังไม่เกษียณ
การลงทุนสม่ำเสมอเป็นประจำ เมื่อยังมีรายได้ยังเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
อย่าหยุดลงทุนเมื่อเรายังมีรายได้ โดยจัดสัดส่วนลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ประเภทให้เหมาะสมกับเราในแต่ละช่วงอายุ
ส่วนคนที่จวนจะเกษียณแล้ว ให้ทำงานต่อ เพื่อยืดอายุการหารายได้
คำแนะนำเฉพาะสำหรับผู้เกษียณแล้ว
เงินที่อยู่ในหุ้นหรือกองทุนหุ้น
จะต้องเป็นส่วนที่เรายังไม่ใช้ภายในอย่างน้อย 5 ปี
นี่แปลว่า เรามีเงินส่วนหนึ่งที่ปลอดภัยจากความผันผวนในตลาดหุ้น
และเป็นส่วนที่เรานำมาใช้ดำรงชีพได้อีกอย่างน้อย 5 ปี ซึ่งถ้าอยู่ในเงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล/ธปท.
กองทุนตราสารหนี้ที่มีความมั่นคง ก็น่าจะอุ่นใจได้
เงินเก็บส่วนที่เกิน 5 ปี ลงทุนหุ้นได้ เพราะอัตราดอกเบี้ยจะต่ำไปอีกนาน หากไม่ลงทุนหุ้นเลยก็คงไม่พอใช้ในอนาคต ยกเว้นจะรีบตายไปเร็วๆ
สรุป
เศรษฐกิจ
การลงทุน ผลิตภัณฑ์
และชีวิตคน ล้วนมีวงจรของมันทั้งขึ้นและลง หากเราเข้าใจในวัฏจักรเหล่านี้
มีการวางแผนให้เหมาะสมกับตนเองในแต่ละช่วงอายุ และมีสติกับรู้ความพอเพียง
แม้เราจะต้องฝ่ามรสุมไปอีกสัก 2 ปี หรือนานเป็น 5 ปี พอร์ตลงทุนของเราก็จะเป็น “ตงฟางปุ๊ป้าย” หรือ “บูรพาไม่แพ้”