THE GURU • MONEY&US

Cash is King

บทความโดย: วรวรรณ ธาราภูมิ

อาการตลาดหุ้นของเราและทั่วโลก หลังจาก FED ออกยาแรงชุดใหญ่ไฟกะพริบ สะท้อนว่าผู้ลงทุนยังอยู่ในอารมณ์ Fear มากกว่า Greed เพราะยังต้านแรงขายจากความหวั่นกลัวเศรษฐกิจในวันข้างหน้าไม่อยู่ ดังนั้น ในวันนี้นักลงทุนที่ยังมีเงินสดในมือ จึงโชคดีกว่าคนที่ทุ่มเททุกบาทลงไปในหุ้น

วันนี้ลองเปิดพอร์ตลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนรวมของตนเองดู (ปกติดูนานๆ ครั้ง) ก็พบว่าขนาดข้าพเจ้าจัดสัดส่วนลงทุนแบบกระจายไปในสินทรัพย์หลายประเภท รวมในและนอกประเทศแล้ว ผลรวมยังขาดทุน ... ก็ต้องยอมรับกันละ ยังดีที่มีเงินสดส่วนหนึ่งที่ไม่ได้ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ในสัดส่วนที่มากกว่าปกติ เตรียมไว้ตั้งแต่ปีก่อน เพราะขณะนั้นแม้ยังไม่มีเรื่องโคขวิด แต่ก็มองว่า End Cycle ของตลาดหุ้นที่ขึ้นมาตลอดกำลังใกล้วัน correction เข้ามาแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ ข้าพเจ้าจึงมีเงินสดในกองทุนตราสารหนี้ภาครัฐที่ให้ผลตอบแทนประมาณเกือบ 1% จำนวนหนึ่ง

นอกจากนี้ ด้วยอายุที่มากแล้ว สัดส่วนลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงจึงต้องลดลง ซึ่งข้าพเจ้าไม่ได้ใช้สูตรคำนวณอะไร เพียงแต่แบ่งเงินในส่วนที่จะไม่ใช้ภายใน 10 ปี ไปกระจายลงทุนในกองทุนหุ้นทั้งในและนอกประเทศ


ทำไมถึง 10 ปี ในขณะที่เคยแนะนำทุกท่านให้เป็น 5-7 ปี ?

ก็ไม่มีสูตรคำนวณใดๆ ทั้งสิ้น และไม่ได้มาจากความเชื่อว่าตลาดจะแย่ไป 10 ปี และในตอนที่ตัดสินใจ ข้าพเจ้าแค่คิดว่ากันเหนียวเหอะ เราแก่แล้ว เมื่อใดเลิกทำงาน ไม่มีรายได้ เราต้องใช้เงินสะสมของเรา สมมติว่าเกิดอะไรขึ้นที่ไม่ดีและย่ำแย่ยาวนาน ข้าพเจ้าก็ต้องการมีเงินเลี้ยงชีพตนเองสัก 10 ปีโดยไม่ต้องไปถอนส่วนที่ขาดทุนจากการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงก็ไม่แน่ใจว่าจะตายเมื่อไหร่ อาจจะพรุ่งนี้ ปีนี้ หรืออีกนานก็ไม่ทราบ ขอแค่สบายใจไป 10 ปีพอแล้ว ที่เหลือช่างมันไปก่อน


ทีนี้ในส่วนเงินสดที่มีอยู่มากกว่าปกติล่ะ ควรจะลงทุนในหุ้นหรือกองทุนหุ้นหรือยัง ?

หากมองระยะสั้นภายในปีนี้ ก็น่าจะมีโอกาสที่ Cash is King เมื่อหายฝุ่นตลบ แต่จะเป็นเมื่อไหร่ ไม่ทราบ เพราะรอบนี้ฝุ่นตลบที่สุดเลยตั้งแต่เคยมีประสบการณ์มาและเมื่อตัดอารมณ์ออกไป ก็เห็นว่าขณะนี้มีหุ้นหลายตัวเหมือนกันที่จ่ายปันผลดี มีราคาลดลงมาอย่างเหลือเชื่อ ในท่ามกลางภาวะที่ดอกเบี้ยจะลดลงไปอีก ข้าพเจ้าคิดว่าเงินสดส่วนนี้น่าจะค่อยๆ ทำงานได้ และข้าพเจ้าก็รอให้เกิดผลได้

นอกจากนี้ ข้าพเจ้าก็สังเกตุเห็นแล้วว่าเริ่มมีบริษัทใหญ่ซื้อหุ้นตัวเองกลับคืน (Treasury Stock) ซึ่งหมายความว่า เขาเห็นแล้วว่าหุ้นของเขามีราคาตลาดต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมากเกินไปแล้ว ข้าพเจ้ายังมีความเชื่ออยู่เสมอว่า ถ้าให้ตนเองไปทำธุรกิจเป็นเถ้าแก่อะไรคงจะทำไม่ไหว ทำไม่เป็น จะไปเป็นเจ้าของบริษัทต่างๆ ก็เหนื่อยยากเกินไป แต่ถ้าได้เป็นเจ้าของด้วยการถือหุ้นแม้จะนิดเดียวและไม่ต้องไปทำงานบริษัทนั้นๆ น่าจะเหมาะกับตนเองมากกว่า

เมื่อเป็นแบบนี้ ถ้าราคาของดีนั้นต่ำจนเหลือเชื่อ ข้าพเจ้าจึงสนใจ เพราะสักวันหนึ่ง Downside Risk จะน้อยกว่า Upside Gain อยู่ดี เพียงแต่ว่าเมื่อไหร่จะลงทุนได้นั้น ขึ้นกับการรับความเสี่ยงได้ของแต่ละคน และการขายออกเมื่อไหร่ก็เช่นกัน แต่เนื่องจากข้าพเจ้ายังทำงานปกติใน บลจ.บัวหลวง จึงไม่ลงทุนในหุ้นด้วยตนเอง หากจะลงทุนก็จะผ่านกองทุนเท่านั้น และไม่เคยมีนอมินี เพราะคนรอบข้างที่ใกล้ชิด ล้วนเป็นพวกรังเกียจหุ้นที่เขียนอย่างนี้ มิได้เชิญชวนให้ซื้อ แต่เป็นความคิดส่วนตัวที่อยากเล่าให้ทราบ

การลงทุนไปในระดับนี้ก็อาจจะขาดทุนเพิ่มอีกก็ได้ และอาจไม่ใช่การลงทุนระยะยาวเพราะเรายังไม่เห็นก้นบ่อ ดังนั้น ขึ้นกับการวิเคราะห์และสภาพของแต่ละปัจเจกบุคคลมากกว่า แต่อย่างน้อยตอนนี้ข้าพเจ้าก็ไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่เครียดจัด เหมือนเถ้าแก่บริษัทแน่ๆ

สำหรับท่านที่มี Cash และไม่เดือดร้อนที่จะใช้เงินส่วนนี้ ก็อาจลองคิดดูได้ แต่ถ้าขาดทุนโปรดอย่าโทษกัน ซึ่งถ้ากลัว ก็เก็บเป็น Cash ไว้ได้ ไม่มีใครบังคับค่ะขอทิ้งท้ายว่า สำหรับคนที่ไม่เหลือ Cash หรือ มีเหลืออยู่น้อยนิด ก็ให้พักผ่อนนอนอยู่กับบ้าน รอฝุ่นหายตลบในครึ่งปีหลัง

เกี่ยวกับนักเขียน

วรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.บัวหลวง ประธานกรรมการบริหาร บลจ.บัวหลวง อดีตประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทยและนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ผู้คร่ำหวอดในแวดวงการเงิน การลงทุน

อ่านบทความทั้งหมดของนักเขียน