ลงทุนเน้นเติบโตอย่างไรดี เมื่อแบงก์ชาติและแบงก์โลก พร้อมหน้าหั่น GDP ไทย
ประมาณการเศรษฐกิจไทย
ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ธนาคารแห่งประเทศไทยนำเสนอแนวโน้มเศรษฐกิจไทยฉบับอัปเดตจากเดือนมีนาคม พร้อม ๆ
กับการลงมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% ต่อปี
และในการนำเสนอแนวโน้มเศรษฐกิจครั้งดังกล่าว
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP Growth) ปี 2564 ลงมาอยู่ที่ระดับ 1.8% จากเดิมที่เคยประเมินไว้
3.0% ในเดือนมีนาคม 2564
โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการปรับลดประมาณการเกิดจากสภาวะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
เป็นสำคัญ ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ในประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ยังมีพัฒนาการด้านบวกอยู่บ้างในเรื่องการกระจายวัคซีนที่คืบหน้าและการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น
ประมาณการเศรษฐกิจโลก
ในเดือนมิถุนายนเช่นเดียวกัน ธนาคารโลก (World Bank) ได้เผยแพร่ Global Economic Prospects หรือ “มุมมองเศรษฐกิจโลก” ฉบับล่าสุด โดยปรับลดประมาณ GDP Growth ในปี 2564 ของไทย ลงเหลือ 2.2% จากที่เคยประเมินไว้ต้นปีที่ 4.0%
ในรายงานฉบับเดียวกันของธนาคารโลก ยังแสดงให้เห็นพัฒนาการของกลุ่มประเทศต่าง ๆ รวมไปถึงบางประเทศที่น่าสนใจ ซึ่งในภาพรวมพบว่า ธนาคารโลกมีมุมมองดีขึ้นต่อเศรษฐกิจโลกปี 2564 โดยปรับตัวเลขขึ้นมาเป็น 5.6% จากเดิมที่คาดการณ์ 4.1% แต่เมื่อแบ่งเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว กับ กลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่และกำลังพัฒนา พบว่าธนาคารโลกมีมุมมองที่เปลี่ยนแปลงไปในระดับที่ไม่เท่ากัน
(ตัวเลขต้นฉบับมีการปัดเศษก่อนนำเสนอ จึงลบไม่ลงตัว)
จะเห็นว่าธนาคารโลกปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจพัฒนาแล้วสูงกว่าเศรษฐกิจเกิดใหม่และกำลังพัฒนามากพอสมควร
แม้ตัวเลข GDP
Growth ของกลุ่มหลังจะยังอยู่ในระดับสูงกว่ากลุ่มแรกก็ตาม
กลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ
ประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจพัฒนาแล้วที่นำโด่งในการปรับเพิ่มประมาณการก็คือสหรัฐอเมริกา
ซึ่งขยับขึ้นมาที่ระดับ 6.8% จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ 3.5%
อย่างไรก็ดี
ส่วนของเศรษฐกิจเกิดใหม่และกำลังพัฒนา
ก็ยังมีหลายประเทศที่ธนาคารโลกปรับประมาณการขึ้นมาอย่างน่าสนใจเช่นกัน
รวมถึงบางประเทศที่แม้ธนาคารโลกจะไม่ได้ปรับตัวเลขเพิ่มขึ้น/เพิ่มขึ้นมาก
แต่ก็ยังคงยืนยันอัตราการเติบโตในระดับที่โดดเด่น ได้แก่ อินเดีย จีนและเวียดนาม
กองทุนหุ้นต่างประเทศที่น่าสนใจตามแนวโน้มเศรษฐกิจปี
2564
1. สหรัฐอเมริกา
1.1 กองทุนเปิด ทหารไทย
US500
Equity Index (TMBUS500) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุน iShares Core
S&P 500 ETF
กองทุนนี้คิดค่าธรรมเนียมการจัดการ
1.07%
ต่อปี และคิดค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end) 1.00%
1.2 กองทุนเปิด แอสเซทพลัสเอสแอนด์พี 500 (ASP-S&P500) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุน SPDR S&P500 ETF
กองทุนนี้คิดค่าธรรมเนียมการจัดการ
1.07%
ต่อปี และคิดค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end) 0.25%
2. อินเดีย
2.1 กองทุนเปิด อเบอร์ดีน
สแตนดาร์ด อินเดีย โกรท ฟันด์ (ABIG) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุน
Aberdeen
Standard SICAV I- Indian Equity Fund
กองทุนนี้คิดค่าธรรมเนียมการจัดการ
1.8725%
ต่อปี และคิดค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end) 1.50%
2.2 กองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อินเดีย อควิตี้ เอฟไอเอฟ ชนิดสะสมมูลค่า (MS-INDIA-A) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุน Manulife Global Fund-India Equity Fund
กองทุนนี้คิดค่าธรรมเนียมการจัดการ
1.8725%
ต่อปี และคิดค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end) 1.50%
3. จีน
3.1 กองทุนเปิด ทหารไทย China Equity Index (TMBCHEQ) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุน iShares FTSE A50 China Index ETF
กองทุนนี้คิดค่าธรรมเนียมการจัดการ 0.997% ต่อปี โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end)
3.2
กองทุนเปิด กรุงศรีเกรทเทอร์ไชน่าอิควิตี้เฮดจ์ปันผล (KF-HCHINAD) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุน
FSSA
Greater China Growth Fund
กองทุนนี้คิดค่าธรรมเนียมการจัดการ 0.8025%
ต่อปี และคิดค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end) 1.50%
4. เวียดนาม
4.1 กองทุนเปิด วรรณ เวียดนาม
อิควิตี้ ชนิดไม่จ่ายเงินปันผล(ONE-VIETNAM-RA) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุน
JPMorgan
Vietnam Opportunities Fund 55.6% Lumen Vietnam Fund 19.1% Lion Global Vietnam
Fund 17.9%
กองทุนนี้คิดค่าธรรมเนียมการจัดการ 1.605%
ต่อปี และคิดค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end) 1.605%
4.2 กองทุนเปิด แอสเซทพลัส เวียดนาม โกรท ฟันด์ (ASP-VIET) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุน Premia MSCI Vietnam ETF 24.2% JPMorgan Vietnam Opportunities Fund 18.6% VFMVN Diamond ETF 8.9%
กองทุนนี้คิดค่าธรรมเนียมการจัดการ 1.61%
ต่อปี และคิดค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end) 1.25%
แนะนำสัดส่วนกองทุนหุ้นตามระดับความเสี่ยง
กรณีรับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำ เน้นความแน่นอนสูงสุดแนะนำลงทุนในกองทุนหุ้นไม่เกิน 10% ของมูลค่าพอร์ต แต่หากรับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลาง ต้องการความเติบโตแต่ยังจำกัดความผันผวน แนะนำลงทุนในกองทุนหุ้นไม่เกิน 30% และหากสามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับสูง เน้นโอกาสเติบโตสูงนะระยะยาว สามารถเน้นกองทุนหุ้นได้ในสัดส่วน 65%
แหล่งข้อมูล: bot.or.th, worldbank.org, tmbeastspring.com, assetfund.co.th, aberdeenstandard.com, manulife-asset.co.th, krungsriasset.com, one-asset.com
ผู้รวบรวมข้อมูล: รวีโรจน์ เจียมศิริกาญจน์ และนิติกร สุทธิมูล ผู้แนะนำการลงทุนรับอนุญาต บลป.เทรเชอริสต์