ย้อนดูพัฒนาการ 21 ปี วงการกองทุนรวมไทย
เชื่อว่าวงการกองทุนรวมของประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ดังเช่นสถิติ 21 ปีที่ได้นำเสนอในช่วงต้น และหากผู้ลงทุนมีความรู้ความมั่นใจมากขึ้น ก็น่าจะกล้ารับความเสี่ยงในระดับที่สูงขึ้นเพราะเข้าใจดีแล้วว่าเป็นการเปิดโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าในระยะยาว
เปิดประวัติการเติบโต 21 ปี วงการกองทุนรวมไทย
· ย้อนไป 21 ปีก่อน
จากข้อมูลเท่าที่มีเปิดเผยอยู่ในเว็บไซต์ของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน
(aimc.or.th)
พบว่า ณ มิถุนายน 2543 หรือเกือบ 21 ปีมาแล้ว
ประเทศไทยมีการลงทุนในกองทุนรวมรวมกัน 117,460 ล้านบาท
(ไม่รวมกองทุนเพื่อการแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงิน)
โดยในยุคนั้นมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม 14 แห่ง และมีกองทุนรวมทั้งหมด 171
กองทุน โดยรายที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารสูงสุดในยุคนั้นคือ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ทหารไทย จำกัด ซึ่งมีส่วนแบ่ง 22.5% รองลงมาคือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม อยุธยาจาร์ดีนเฟลมมิ่ง จำกัด
ซึ่งมีส่วนแบ่ง 18.1% ในด้านสัดส่วนประเภทกองทุน
แบ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ 56.5% กองทุนตราสารทุน 26.1%
กองทุนผสมและอื่นๆ 17.4%
· 10 ปีต่อมา
ข้อมูล ณ มิถุนายน 2553 ชี้ว่ามูลค่าการลงทุนในกองทุนรวมของไทยเพิ่มเป็น
1,673,531 ล้านบาท (ไม่รวมกองทุนเพื่อการแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงิน) กระจายอยู่ในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน
20 แห่ง ผ่าน 1,289 กองทุน รายที่มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงสุดคือ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด ด้วยส่วนแบ่ง 25.6% ตามมาด้วย
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด 23.0% โดยสัดส่วนประเภทกองทุนแบ่งเป็น
กองทุนตราสารหนี้ 69.2% กองทุนตราสารทุน 21.3
กองทุนผสมและอื่นๆ 9.5%
· สถานะล่าสุด
ตัวเลขล่าสุด ณ เมษายน 2564 ชี้ว่า ประเทศไทยมีการลงทุนในกองทุนรวม
5,199,298 ล้านบาท (ไม่รวมกองทุนเพื่อการแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงิน)
ซึ่งมาจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 23 แห่ง ผ่าน 2,119 กองทุน โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน
กสิกรไทย จำกัด มีส่วนแบ่งสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงสุดที่ 21.8% ตามมาด้วย
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด ในสัดส่วน 18.1% ในมูลค่ากองทุนรวมทั้งหมด แบ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ 43.9% กองทุนตราสารทุน 32.8% กองทุนผสมและอื่นๆ 23.3%
จากตัวเลขในตารางจะเห็นว่ามูลค่าการลงทุนในกองทุนรวมของไทยเพิ่มขึ้นมากกว่า
44 เท่า ในเวลาประมาณ 21 ปี เทียบเท่าอัตราการเติบโตเฉลี่ย 19.8% ต่อปี
และน่าสังเกตด้วยว่า ในช่วง 11 ปีล่าสุด
ผู้ลงทุนได้กระจายเงินออกจากสินทรัพย์มั่นคงสูงอย่างกองทุนตราสารหนี้
แล้วเพิ่มสัดส่วนสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น
จากที่เคยมีกองทุนตราสารหนี้ในสัดส่วน 69.2% ลดเหลือ 43.9%
พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนกองทุนตราสารทุน จาก 21.3% เป็น 32.8% สถานะนี้เมื่อเทียบกับชาวโลกจะเป็นอย่างไร?
เปรียบเทียบสถิติการลงทุนกองทุนรวมของชาวโลก
สหรัฐอเมริกา และประเทศไทย
สถิติล่าสุดจากเว็บไซต์ Investment Company Institute (ici.org) ระบุว่ากองทุนรวมทั่วโลก ณ สิ้นปี 2563 มีมูลค่ารวมกัน 63.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,953 ล้านล้านบาท และชาวโลกโดยรวมจะเน้นลงทุนในกองทุนตราสารทุนมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 45.0% ตามมาด้วยกองทุนตราสารหนี้ 33.9% โดยมีกองทุนผสมและอื่นๆ อีก 21.1% และเมื่อดูสถิติในสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียว พบว่ามียอดการลงทุนในกองทุนรวมรวมกัน 20.93 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 908 ล้านล้านบาท โดยตัวเลขที่น่าสนใจคือ ผู้ลงทุนในสหรัฐฯ เน้นลงทุนในกองทุนตราสารทุนถึง 58.0% ตามมาด้วยกองทุนตราสารหนี้ 36.0% โดยลงทุนในกองทุนผสมและอื่นๆ เพียง 7.0%
นอกจากนั้น หากเทียบมูลค่าการลงทุนในกองทุนรวมกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP พบว่าภาพรวมของโลก มีสัดส่วนการลงทุนในกองทุนรวมต่อ GDP อยู่ในระดับ 75.3% และสัดส่วนเดียวกันนี้ของสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูงถึง 140.0% แต่เมื่อเหลียวดูตัวเลขของไทย จะอยู่ที่ระดับ 32.1% (อ้างอิง: statistictimes.com bev.gov และ nesdc.go.th)
สรุปความแตกต่างการลงทุนในกองทุนรวมของไทยเทียบกับสหรัฐฯ
และชาวโลก
ประการแรก
จะเห็นว่าประเทศไทยยังมีการลงทุนน้อยเมื่อเทียบกับ GDP คือไม่ถึง 1/3
ขณะที่ภาพรวมทั่วโลกอยู่ที่ระดับ 3/4 ส่วนสหรัฐฯ อยู่ในระดับเกิน 100% และหากสภาวะเช่นนี้ (โดยเปรียบเทียบ) ยังคงอยู่ต่อไปในระยะยาว
ก็อาจทำให้ประชาชนในภาพรวมเสียโอกาสต่อยอดความมั่งคั่งและทำให้ประเทศเตรียมรับสังคมสูงวัยได้อย่างยากลำบากขึ้น
ประการที่สอง
นักลงทุนไทยรับความเสี่ยงน้อยกว่าค่าเฉลี่ยโลก เมื่อพิจารณาสัดส่วนการลงทุนในกองทุนประเภทต่างๆ
จะเห็นว่าสัดส่วนกองทุนตราสารทุนของไทยมีเพียง 33% ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ระดับ
45% และในสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูงถึง 58% และเป็นที่รู้กันดีว่า การลงทุนระยะยาวในตราสารทุนช่วยเปิดโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้อย่างมาก
หากจะสรุปให้สั้นลงอีก ก็อาจกล่าวได้ว่า ประเทศไทยยังมีการลงทุนในกองทุนรวมเป็นสัดส่วนต่ำเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ และเงินลงทุนที่มีอยู่ก็เน้นด้านความมั่นคงมากกว่าโอกาสเติบโต
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาความตั้งใจของหน่วยงานต่างๆ
โดยเฉพาะสำนักงาน ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มุ่งเน้นให้ความรู้ด้านการลงทุนแก่ประชาชน
และกำหนดแนวทางต่างๆ ที่เอื้อให้ประชาชนลงทุนได้อย่างมั่นใจขึ้นและง่ายขึ้น ก็เชื่อว่าวงการกองทุนรวมของประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
ดังเช่นสถิติ 21 ปีที่ได้นำเสนอในช่วงต้น และหากผู้ลงทุนมีความรู้ความมั่นใจมากขึ้น
ก็น่าจะกล้ารับความเสี่ยงในระดับที่สูงขึ้นเพราะเข้าใจดีแล้วว่าเป็นการเปิดโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าในระยะยาว