APEC 2022 THAILAND ชูประเด็นเศรษฐกิจ BCG
ไทยเป็นเจ้าภาพประชุมเอเปค ปี 2565 กำหนดแนวทางหลัก "เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล" (Open. Connect. Balance.) มุ่งเน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG
เมื่อวันที่ 18-19
พฤศจิกายน 2565 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เป็นประธานการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากโควิด-19
ท่ามกลางความท้าทายจากภาวะเงินเฟ้อ ความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน
พร้อมสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อรับมือวิกฤติต่างๆ ในอนาคต โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
โดยชูโมเดลเศรษฐกิจ BCG
(Bio-Circular-Green Economy) เป็นตัวเร่งการปรับมุมมองและพฤติกรรมไปสู่โมเดลธุรกิจที่สามารถสร้างผลกำไรควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม
ส่งเสริมการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทุกภาคส่วน
ทั้งนี้ ในการประชุมครั้งนี้
กรรมการจัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศได้ร่วมนำเสนอภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2565
และผู้แทนสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปคและแขกพิเศษ ได้แก่
มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย และประธานาธิบดีฝรั่งเศส
ได้ร่วมหารือกับผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค
เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองของภาคเอกชนและคู่ค้าสำคัญนอกภูมิภาคเอเปค
โดยจากการประชุมครั้งนี้ ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค
ได้รับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุม 2 ฉบับ ได้แก่
ปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ค.ศ.2022 และเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG
ซึ่งสะท้อนผลสำเร็จของการเป็นเจ้าภาพเอเปค 2565
ของไทยที่ขับเคลื่อนให้เอเปคสามารถเดินหน้าทำงานท่ามกลางสถานการณ์ความท้าทายในปัจจุบัน
และคงความสำคัญในการเป็นเวทีความร่วมมือทางเศรษฐกิจชั้นนำของภูมิภาค
ในการนี้ ไทยได้ส่งต่อการเป็นเจ้าภาพเอเปคในปี 2566
ให้แก่สหรัฐฯ โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบ “ชะลอม” ให้แก่ นางคามาลา แฮร์ริส
รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งชะลอมเป็นภาพแทนสัญลักษณ์การเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทย
เพื่อส่งต่อให้สหรัฐฯ สานต่อภารกิจในปี 2566
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เปิดเผยว่า การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 29
จบลงด้วยความสำเร็จอย่างงดงาม ถือเป็นความสำเร็จร่วมกันของสมาชิกเอเปคทั้งหมด
เอเปคต้องยืนหยัดทำงานเพื่อสร้างการเจริญเติบโตและอนาคตของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
สัปดาห์ที่ผ่านมา ไทยได้ต้อนรับคณะผู้นำ ผู้เข้าร่วมประชุม และสื่อต่างชาติ
รวมกว่า 5,000 คน ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 4
ปีที่ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคได้ประชุมแบบพบหน้า
โดยการประชุมนี้
นอกจากจะเป็นเวทีให้การหารือระหว่างผู้นำ ยังได้แลกเปลี่ยนความเห็นกับแขกพิเศษ
ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และ มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย
ผู้นำได้พูดคุยกับภาคเอกชน ในการหารือกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค
และนายกฯยังได้รับฟังมุมมองของกลุ่มผู้แทนเยาวชนเอเปคจาก APEC Voices of
the Future 2022
ขณะที่ที่ประชุมยังได้หยิบยกสถานการณ์การคุกคามด้านนิวเคลียร์
ไทย ในฐานะเจ้าภาพเอเปคเข้าใจและมีความห่วงกังวลต่อผลกระทบ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
และพร้อมร่วมมือกับหุ้นส่วนต่างๆ เพื่อหาทางแก้ไขประเด็นปัญหาอย่างใกล้ชิดต่อไป
นอกจากนี้
ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคได้รับรองปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ค.ศ.2022
ซึ่งการทำงานของเอเปค 2022 ตลอดทั้งปี
ที่มีแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว หรือแนวคิดเศรษฐกิจ BCG
เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อน ภายใต้หัวข้อหลัก “เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์
เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล” โดยมีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม 3
ข้อตามที่ไทยตั้งเป้า ได้แก่
1. การผลักดันให้เอเปคทบทวนการหารือเรื่องเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิกในบริบทหลังโควิด-19
โดยมีแผนงานการขับเคลื่อนการหารือที่ต่อเนื่องระหว่างปี ค.ศ.2023-2026
เพื่อให้เอเปคสามารถเดินหน้าได้อย่างชัดเจน
2. การฟื้นฟูการเดินทางข้ามพรมแดนที่สะดวกปลอดภัย
โดยคณะทำงานเฉพาะกิจที่ไทยเป็นประธานได้จัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อให้เอเปคมีกลไกและแนวทางการรับมือกับ
Disruption ในอนาคต
3. การรับรอง “เป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG”
ซึ่งเป็นเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนฉบับแรกของเอเปค
โดยเน้นเป้าหมายหลัก 4 ข้อ ได้แก่ การจัดการกับปัญหาสภาพภูมิอากาศ
การค้าและการลงทุนที่ยั่งยืน การบริหารจัดการทรัพยากรยั่งยืน
และการลดและจัดการของเสียอย่างยั่งยืน
“การเป็นเจ้าภาพเอเปคปี 2565
ของไทยได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ผมได้ส่งมอบหน้าที่นี้แก่สหรัฐอเมริกา
ที่จะเป็นเจ้าภาพเอเปคในปี 2566 เชื่อมั่นว่า สหรัฐฯ
จะสานต่อการส่งเสริม การเติบโตอย่างครอบคลุมและยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก”
ไทยหารือนานาประเทศ
พร้อมขยายความร่วมมือในทุกมิติ
ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคในวันที่
18-19 พฤศจิกายน 2565
นอกจากจะหารือกันในแนวคิดหลัก ขับเคลื่อนเอเปคด้วยแนวคิดหลัก
"เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล" (Open. Connect.
Balance.) โดยมุ่งเน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG แล้ว
ประเทศไทยยังได้หารือกับผู้นำหลายประเทศ ดังนี้
ไทย-แคนาดา
ขยายความร่วมมือการค้าการลงทุน
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือทวิภาคีกับนายจัสติน ทรูโด (The
Right Honourable Justin Trudeau) นายกรัฐมนตรีแคนาดา
โดยมีประเด็นความร่วมมือ ที่สำคัญ ดังนี้
ด้านความร่วมมือในระดับภูมิภาค
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมมือกันในการส่งเสริมความสัมพันธ์อาเซียน-แคนาดา
เพื่อปูทางไปสู่การเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างกันในอนาคต
ด้านเศรษฐกิจ
ไทยพร้อมสนับสนุนการเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-แคนาดา
ให้สำเร็จโดยเร็ว โดยนายกรัฐมนตรีแคนาดา พร้อมสานต่อข้อเสนอดังกล่าว
โดยเชื่อมั่นว่า
การเจรจาร่วมกันจะช่วยขยายศักยภาพทางทางการค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ด้านการเสริมสร้างความมั่นคงของมนุษย์
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมมือกันทั้งในด้านสิทธิมนุษยชน
การส่งเสริมความเท่าเทียมและบทบาทสตรี ตลอดจนส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน
ด้านการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีแคนาดา
ยินดีที่ได้ทราบว่า สายการบิน Air Canada จะเปิดเส้นทางบินตรงระหว่างเมืองแวนคูเวอร์-กรุงเทพฯ
(สุวรรณภูมิ) ในเร็วๆ นี้ ซึ่งถือเป็นการเปิดเส้นทางระหว่างอเมริกาเหนือ
และประเทศไทย
ไทย-ญี่ปุ่นยกระดับ
เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือกับ นายคิชิดะ ฟูมิโอะ (H.E.
Mr. KISHIDA Fumio) นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
ผู้นำทั้งสองต่างยินดีในโอกาสครบรอบ 135 ปี
ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในปีนี้ และการครบรอบ 10
ปีของความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์
โดยไทยและญี่ปุ่นยังได้ยืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือกันเพื่อพัฒนา
“หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน” อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นในอนาคต
ซึ่งการลงนามและประกาศใช้แผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่นในระยะ
5 ปี
จะยิ่งช่วยสนับสนุนการพัฒนาหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านต่อไป
ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
ไทยพร้อมเป็นหุ้นส่วนกับญี่ปุ่นในการพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงาน และส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจพลังงานคาร์บอนต่ำ
ซึ่งญี่ปุ่นพร้อมพิจารณาใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของอาเซียนด้วย
โดยญี่ปุ่นยังได้กล่าวเสนอเพิ่มพูนความร่วมมือธุรกิจ Startup ของทั้งสองประเทศด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ขอให้ญี่ปุ่นพิจารณาขยายการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นในไทยเพิ่มเติม
ซึ่งถือเป็นการลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ในระยะยาว
ด้านพลังงาน
ไทยและญี่ปุ่นพร้อมร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานที่ทันสมัยและการส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจพลังงานคาร์บอนต่ำร่วมกันผ่านข้อเสนอความร่วมมือด้านพลังงาน
(White Paper) ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น และภายใต้ข้อริเริ่ม Asia
Zero-Emission Community (AZEC) ของญี่ปุ่น
ซึ่งสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของไทย
ด้านความมั่นคง
ทั้งสองฝ่ายยังได้ลงนามความตกลงว่าด้วยการมอบโอนยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศเมื่อครั้งที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเยือนไทย
ซึ่งขณะนี้กระทรวงกลาโหมอยู่ระหว่างการพิจารณาสาขาความร่วมมือที่ประสงค์ร่วมมือกับฝ่ายญี่ปุ่นต่อไป
ด้านประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศ
ไทยพร้อมสานต่อความร่วมมือกับญี่ปุ่นในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีความเชี่ยวชาญและเป็นที่ต้องการของประเทศผู้รับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
ไทย-ฝรั่งเศส
กระชับความร่วมมือในทุกมิติ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือทวิภาคีกับ นายเอมานูว์แอล มาครง
(H.E. Mr. Emmanuel Macron) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส
โดยสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้
1. การจัดทำความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตรา
สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางราชการไทย-ฝรั่งเศส
นายกรัฐมนตรีขอให้ฝรั่งเศสเร่งรัดการดำเนินการดังกล่าวให้มีความคืบหน้า
โดยประธานาธิบดีฝรั่งเศสพร้อมเร่งรัดการดำเนินการ คาดว่าภายในเดือนมกราคม 2566
จะมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม
2. ด้านความมั่นคง
นายกรัฐมนตรียินดีกับความร่วมมือทางการทหารที่ใกล้ชิด
ตลอดจนยินดีที่ฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก รวมถึงไทย
โดยนายกรัฐมนตรีพร้อมเร่งรัดการจัดตั้งกลไกการหารือ 2+2 Dialogue ไทย-ฝรั่งเศส
เพื่อหารือในประเด็นท้าทายด้านความมั่นคง
3. ด้านเศรษฐกิจ
รัฐบาลไทยได้ปรับนโยบายที่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ผ่านโมเดลเศรษฐกิจ BCG
ซึ่งสอดคล้องกับแผนปฏิรูปสีเขียวของ EU ไทยร่วมกับสมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคลดอัตราภาษีนำเข้าทั่วไปสำหรับรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมจำนวน
54 รายการ
นายกรัฐมนตรีจึงเชิญชวนให้ฝรั่งเศสใช้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว
ด้าน ประธานาธิบดีฝรั่งเศส
พร้อมมีความร่วมมือกับไทยในด้านการผลิตและพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์
และเกษตรกรรม ตลอดจนพร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการพัฒนา EEC
4. ด้านการศึกษาและวิชาการ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส
พร้อมสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนนักศึกษา นักวิชาการ และนักวิจัยระหว่างกันมากขึ้น
ซึ่งในปีหน้าคาดว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถลงนามในความตกลงด้านการศึกษาระหว่างกันได้
5. ความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาคและภูมิภาค
ไทยพร้อมสนับสนุนฝรั่งเศสในการมีส่วนร่วมและมีบทบาทที่สร้างสรรค์
ทั้งในกรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS)
อาเซียน-ฝรั่งเศส และ อาเซียน-EU รวมถึงการขับเคลื่อนวาระสำคัญภายใต้ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก
และมุมมองอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้ฝรั่งเศสสนับสนุนการรื้อฟื้นการเจรจา
FTA ไทย-EU ด้วยเช่นกัน
ซึ่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสพร้อมสนับสนุนนโยบายระหว่างไทยกับ EU และพร้อมผลักดันการรื้อฟื้นการเจรจา
FTA ไทย-EU อย่างแข็งขัน
ไทย-ฮ่องกง กระชับความร่วมมือทางการค้า
การลงทุน และการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือทวิภาคีแบบสั้น (pull-aside)
กับนายจอห์น ลี คา-ชิว (The Honourable John Lee Ka-Chiu) ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง
โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ไทยยินดีร่วมมือกับฮ่องกงในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจของภูมิภาคให้รุ่งเรือง
ทั้งนี้ ไทยและฮ่องกง มีความร่วมมือที่ใกล้ชิด โดยเฉพาะการค้าและการลงทุน
รัฐบาลพร้อมร่วมมือกันในทุกมิติ
2. ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง
ยินดีที่ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีในวันนี้ โดยไทยและฮ่องกงมีความร่วมมือที่แน่นแฟ้น
อย่างไรก็ดี ทั้งสองฝ่ายยังมีศักยภาพในการเพิ่มพูนความร่วมมือกันอีกมาก
พร้อมยืนยันความร่วมมือระหว่างกันในการทำงานอย่างใกล้ชิด
3. สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
จะเป็นโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายร่วมแก้ปัญหาท่ามกลางความท้าทาย
และเป็นโอกาสให้ยกระดับความร่วมมือ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
รวมถึงแสวงหาความร่วมมือเพิ่มเติมในเรื่องการค้าและการลงทุน
และการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนการค้าในผลิตภัณฑ์ทางด้านเกษตร
นายกฯ ไทย-นิวซีแลนด์
มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือทวิภาคีกับ นางสาวจาซินดา
อาร์เดิร์น (H.E. Rt Hon. Jacinda Ardern) นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์
โดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1. ไทยและนิวซีแลนด์
พร้อมเพิ่มพูนความร่วมมือที่มีอยู่เดิมและในสาขาความร่วมมือใหม่
โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม การท่องเที่ยว
ซึ่งรัฐบาลพร้อมผลักดันและเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกันมากยิ่งขึ้นในระดับภูมิภาค
อนุภูมิภาค และเวทีพหุภาคี
2. นิวซีแลนด์
พร้อมสนับสนุนแนวทางที่หารือร่วมกันเพื่อการพัฒนาและฟื้นฟูเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาค
โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การส่งเสริมการท่องเที่ยว
ที่นิวซีแลนด์ให้ความสำคัญ
เชื่อมั่นว่าทั้งสองประเทศจะสามารถขยายความร่วมมือในด้านอื่นๆ ได้อีกมาก
3. ด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์เห็นพ้องกับแนวคิดของไทยเรื่องความสำคัญของการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ
และการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
4. ด้านการท่องเที่ยว
ทั้งสองฝ่ายพร้อมสนับสนุนการเปิดเที่ยวบินตรงไทย-นิวซีแลนด์
โดยนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์เชื่อมั่นว่า
จะเป็นศูนย์กลางความเชื่อมโยงที่สำคัญเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน
5. ด้านความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเสริมสร้างบทบาท
โดยเฉพาะสาขาด้านการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ การบริหารจัดการน้ำ
การเกษตรอัจฉริยะ นวัตกรรมทางอาหาร พลังงานทดแทน รวมไปถึงการศึกษา
ซึ่งนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์เห็นพ้องและพร้อมที่จะขยายความร่วมมือในด้านที่มีศักยภาพร่วมกันในอนาคต