Special Interview : ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย
ผยง ศรีวณิช
กรรมการผู้จัดการใหญ่
ธนาคารกรุงไทย
ด้วยเจตนารมณ์ตลอดระยะเวลา 54
ปีที่ผ่านมาของธนาคารกรุงไทย ที่อยู่เคียงข้างไปกับประเทศไทย คนไทย และสังคมไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์แห่งเดียวของรัฐ
ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า สามารถขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ก้าวสู่การเป็น Invisible
Banking ได้อย่างเต็มขั้น
ไปพร้อมกับทำหน้าที่สนับสนุนนโยบายสำคัญๆ ของภาครัฐ
เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างเข้มแข็ง และฝ่าวิกฤติต่างๆ ของประเทศ
ปี 2563 ประเทศไทยได้เผชิญกับความท้าทายหลากหลายรูปแบบ
โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของ Covid-19
ที่สร้างผลกระทบต่อโลกรุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี
ภาคธนาคารในฐานะเสาหลักของระบบเศรษฐกิจ
จึงต้องทำหน้าที่เป็นหลักยึดประคองลูกค้าให้ก้าวผ่านวิกฤติไปได้อย่างมั่นคง
นอกจากนี้ ธนาคารกรุงไทยยังมีบทบาทในการสนับสนุนประเทศให้ก้าวสู่
Digital Economy ด้วยแพลตฟอร์มที่หลากหลายช่วยเชื่อมโยงภาครัฐกับประชาชน
ตามที่ได้เห็นจากระบบลงทะเบียน
“ชิม ช้อป ใช้” แพลตฟอร์มไทยชนะ
พัฒนาเว็บไซต์ เราไม่ทิ้งกัน.com และ คนละครึ่ง.com ตอกย้ำความสำเร็จของยุทธศาสตร์
“2 Banking Model” หรือ “กลยุทธ์แบบเรือบรรทุกเครื่องบิน”
มุ่งปกป้อง ป้องกัน รักษา และพัฒนาธุรกิจดั้งเดิมของธนาคาร และ “กลุยทธ์เรือเร็ว”
มุ่งเน้นการทำงานแบบเรือเร็ว
กระชับ พัฒนานวัตกรรมทางการเงิน เชื่อมโยง 5 Ecosystems หลักของธนาคาร
ได้แก่ กลุ่มการชำระเงิน กลุ่มการรักษาพยาบาลและสุขภาพ
กลุ่มสถาบันการศึกษาและนักเรียน กลุ่มระบบขนส่ง และกลุ่มหน่วยงานภาครัฐ
ความสำเร็จของธนาคารกรุงไทย ภายใต้การนำทัพของ ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้ทำให้เห็นเป็นที่ประจักษ์
ส่งผลให้คณะกรรมการธนาคาร มีมติให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่กรุงไทยต่ออีกวาระหนึ่ง
จนถึงปี 2567 นอกจากนี้
คณะกรรมการตัดสินรางวัลนักการเงินแห่งปี ยังได้ลงมติให้ ผยง ศรีวณิช เป็น
นักการเงินแห่งปี ประจำปี 2563 Financier of the Year 2020
4 ปี กับการปรับทิศยุทธศาสตร์
มุ่งสู่แก่นธนาคารพาณิชย์ของรัฐ
ผยง ศรีวณิช เปิดเผยว่า
ภายใต้ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ในวาระแรก
ได้ขับเคลื่อนองค์กรเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ยุค Digital Disruption ได้แล้วพอสมควร
สามารถปรับองค์กรให้หันไปถูกทิศถูกทาง
เพราะในยุค Disruption ทิศทางที่จะมุ่งไปต้องชัดเจน ยิ่งเกิด Covid-19
ซึ่งธนาคารสามารถยืนหยัดเป็นเสาหลักของระบบเศรษฐกิจ
และเป็นกลไกของรัฐในการบรรเทาและเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น
ยิ่งเป็นการยืนยัน และทำให้แน่ใจว่า ทิศทางที่ธนาคารกรุงไทยกำลังมุ่งหน้าไปนั้น “ถูกต้องแล้ว” เพียงแต่ต้องวิ่งให้เร็วขึ้น
“Covid-19 ทำให้เกิดมิติที่ซ้อนทับเพิ่มเติมเข้ามา
ทั้งเรื่องของสุขภาพที่คนเริ่มตระหนักมากขึ้นและการทำงานที่บ้าน (Work From
Home) ที่เข้ามาเปลี่ยนความสามารถในการผลิต (Productivity)
ของระบบเศรษฐกิจ การได้รับโอกาสให้เข้ามารับตำแหน่งในวาระที่ 2
ถือเป็นการได้ต่อยอดสิ่งที่ได้ปรับทิศทางองค์กรเอาไว้
สู่โลกวิถีใหม่ในอนาคต”
นอกจากเรื่องดิจิทัลแล้ว
ผยงยังได้เริ่มปรับความสมดุลของพอร์ตสินเชื่อของธนาคาร ที่ถือว่าทำได้ทันเวลา
ทันเหตุการณ์ โดยธนาคารกรุงไทย
สามารถลดสัดส่วนกลุ่มสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูงแต่สร้างรายได้น้อย เช่น กลุ่มโรงสีข้าว
สินค้าเกษตรบางกลุ่ม และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ผลตอบแทนกับความเสี่ยงไม่สมดุลกันให้น้อยลงไปจากอดีต
รวมทั้งได้ปรับกฎเกณฑ์พิจารณาสินเชื่อให้สะท้อนกฎเกณฑ์ใหม่ๆ
สานต่อการสร้าง Loan Factory หรือ กระบวนการสินเชื่อรายย่อยไร้กระดาษ
ทำให้การอนุมัติสินเชื่อถูกฝาถูกตัว ความเสี่ยงที่ได้รับไม่มากจนเกินไป
ซึ่งเป็นจุดที่ช่วยคุมความเสี่ยงได้ดี
ทำให้การปล่อยสินเชื่อทุกก้อนของธนาคารจะต้องคำนึงถึงการตั้งสำรองที่สอดคล้องกับการกำหนดมาตรฐานการรายงานทางการเงินใหม่
IFRS9
ด้วยการเร่งสร้างความมั่นคงในเรื่องบริหารความเสี่ยง
ส่งผลให้ฐานะทางการเงินของธนาคารแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากเดิมเงินสำรองต่อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของธนาคารเคยต่ำว่า 100%
ปัจจุบันเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับ 120-130% ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสม
และนับว่าเป็นการลดความเสี่ยงทันเวลาก่อน Covid-19
จะมาสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมในภายภาคหน้า
“4 ปีที่ผ่านมา ได้เห็นทิศทางของธนาคารชัดขึ้น และได้ลงมือทำ เริ่มจากสร้างโครงสร้างที่จำเป็นต้องมี สร้างความตระหนักรู้ความเข้าใจให้ทุกภาคส่วนขององค์กรเพื่อที่จะได้เดินไปด้วยกัน ปรับทิศทางยุทธศาสตร์ที่อาจจะไม่ได้มุ่งเน้นในเรื่องกำไร เพราะใส่ใจกับความแข็งแกร่งของธนาคารที่เป็นเรื่องความยั่งยืนและทำได้ทันท่วงที นับเป็นเวลาที่ไม่เสียเปล่า”
ผยงกล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ที่สำคัญในช่วงเวลา 4
ปีที่ผ่านมาคือ การได้รู้ตัวตนของธนาคารกรุงไทย
ที่เป็นธนาคารพาณิชย์ของรัฐแห่งแรกและแห่งเดียว
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ยังคงเป็นอยู่ ภายใต้นิยามของ
พ.ร.บ.หนี้สาธารณะ ซึ่งได้สร้างความเข้าใจให้พนักงานและคนในองค์กรรับรู้ว่า
ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ธนาคารกรุงไทยยังคงเดินหน้าธุรกิจด้วยการสะท้อนภาพในความเป็นธนาคารพาณิชย์และการมีรัฐถือหุ้นใหญ่
ที่ต้องดำเนินกิจการสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญ นั่นคือภาครัฐต่อไป
“สิ่งที่ธนาคารกรุงไทยมีจุดแข็งอย่างชัดเจนคือ
มีฐานลูกค้าในต่างจังหวัดมากกว่าในเมือง
อย่างที่ได้พูดมาเสมอคือ ถ้าจะให้ขึ้นชกบนห้างใหญ่ในกรุงเทพฯ เราคงถูกน็อก แต่หากให้ชกในตลาดท้องถิ่นอย่างกิมหยงเราสู้ได้สบายและเข้มแข็ง
เพราะรากฐานเราอยู่ตรงนั้น
ธนาคารกรุงไทยต้องทำหน้าที่บนตัวตนของตัวเองที่เป็นธนาคารพาณิชย์ของรัฐ
การทำในสิ่งที่เป็นตัวตนจะตอบโจทย์ได้อย่างยั่งยืน”
ผยงเล่าว่า
ด้วยรากฐานของธนาคารกรุงไทยอยู่ในต่างจังหวัด
จึงมุ่งเน้นที่จะดูแลพื้นที่นั้นให้แข็งแรง และนับว่าที่ผ่านมา
สามารถทำหน้าที่นี้ได้ดี เช่น การเดินหน้าโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ช่วยให้คนไทย 14.6
ล้านคน ที่ไม่เคยเข้าถึงบริการทางการเงินมาก่อนสามารถเข้าถึงได้
และสามารถเข้าถึงการชำระเงินในร้านค้าโชห่วยที่เป็นฐานรากของคนไทยทุกตำบลรวมกว่า 200,000
ร้านค้าในประเทศไทย
ซึ่งสิ่งที่ธนาคารทำคือ การเข้าไปสานต่อโครงการของรัฐ ด้วยการมองภาพว่า รัฐ
คือลูกค้ารายใหญ่ของธนาคาร ดังเช่น ธนาคารอื่นที่มีลูกค้ารายใหญ่เป็นของตัวเอง
“เป้าหมายในช่วงระยะเวลา 4 ปีจากนี้ไป
จะทำให้ภาพของการเชื่อมโยงธนาคารกรุงไทยกับ 5
Ecosystems ตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันมากขึ้น
และเมื่อถึงจุดที่ธนาคารสามารถต่อยอดหยั่งลึกกับระบบนิเวศทั้ง 5
ได้ จะสร้างมูลค่าให้ธนาคารได้อย่างชัดเจนและยั่งยืน”
ผยงบอกว่า จากจุดเริ่มต้นของเปลี่ยนผ่านใน 4
ปีที่ผ่านมา เมื่อเข้าสู่วาระที่ 2
ของตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่
จะเป็นการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานที่ได้สร้างไปแล้วในวาระแรก โดยจะยกระดับ Krungthai NEXT ซึ่งเป็นระบบปิดที่มีคนใช้งาน
10 ล้านราย พัฒนาให้ใกล้เคียงคู่เทียบมากกว่าเดิม นอกจากนี้
ยังสานต่อบทบาทการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยระบบเปิด คือ “เป๋าตัง”
ด้วยการตอบสนองโครงการต่างๆ ของภาครัฐ
เพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงธุรกรรมทางการเงินได้สะดวก
ด้วยสถานการณ์ Covid-19
ทำให้ธนาคารได้พิสูจน์ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานที่วางรากฐานเอาไว้ตามยุทธศาสตร์
5 Ecosystems หลักของธนาคาร นั่นคือ กลุ่มการชำระเงิน
กลุ่มการรักษาพยาบาลและสุขภาพ กลุ่มสถาบันการศึกษาและนักเรียน กลุ่มระบบขนส่ง
และกลุ่มหน่วยงานภาครัฐ
ที่นำเอาศักยภาพของโครงสร้างพื้นฐานที่ธนาคารมีไปใช้ในโครงการต่างๆ
ทำให้เห็นภาพของคำว่า Invisible Banking ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
“สิ่งหนึ่งที่พวกเราชาวกรุงไทยทุกคนภาคภูมิใจคือ สิ่งที่เราพูดและได้ทำ สะท้อนผลลัพธ์ออกมาอย่างเป็นรูปธรรม
สิ่งสำคัญคือ สิ่งที่ทำมา นอกจากกรุงไทยได้ดูแลตัวเองแล้ว
กรุงไทยยังได้มีส่วนในการดูแลคนไทยด้วย”
สมการ X2G2X
ยึดโยงภาครัฐ
ผยงกล่าวว่า แม้จะมีรัฐเป็นลูกค้ารายใหญ่
แต่ธนาคารกรุงไทยไม่เคยได้รับอภิสิทธิ์ใดๆ
จากรัฐแม้แต่น้อย ทำทุกอย่างตามขั้นตอนอย่างโปร่งใส ตามวัฒนธรรมองค์กรของธนาคารกรุงไทย ที่จะไม่ทนต่อการทุจริตทุกรูปแบบทั่วทั้งองค์กร
(Zero Tolerance)
“การรับหน้าที่สนองโครงการต่างๆ
ของรัฐตั้งแต่เริ่มแรกก็เพราะมองว่าโครงการเหล่านั้นเป็นจุดที่สามารถยึดโยงธนาคารกับปัจจัยพื้นฐานของคนไทยตามยุทธศาสตร์ 5
Ecosystems
หลักของธนาคารได้
ที่แม้เริ่มต้นอาจจะไม่ใช่เพื่อลูกค้าของธนาคาร
แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในใจคนไทยได้แล้วสุดท้ายพวกเขาจะมีกรุงไทยอยู่ในใจเช่นกัน”
อย่างไรก็ดี เพื่อให้ภาพของ Invisible
Banking ชัดเจนมากกว่าเดิมในระยะข้างหน้า
ธนาคารกรุงไทยจะเดินหน้าตามยุทธศาสตร์สมการ X2G2X
ที่เป็นการเปลี่ยนโลกใหม่ของธนาคารเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ต่างจากอดีต
“ในยุคก่อน อาจจะคุ้นเคยกับคำว่า กลุ่มรายย่อย
กลุ่มธุรกิจ หรือธุรกิจรายใหญ่ เป็นการแบ่งสายงานตามกลุ่ม
ส่วนภาครัฐมักจะถูกจัดไว้เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจเท่านั้น แต่จากนี้
ธนาคารเล็งเห็นว่า ภาครัฐจะเป็น Key Driver ของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า”
ผยงฉายภาพของแนวคิด X2G2X
ให้เห็นว่า ภาครัฐไม่ได้ทำนโยบายเพื่อแสวงหากำไร
ดังนั้น การที่ธนาคารจะทำหน้าที่
เป็นพันธมิตรกับภาครัฐ
จึงไม่สามารถมองอย่างเอกชนที่มุ่งหากำไรได้
และเชื่อว่าไม่มีธนาคารพาณิชย์รายใดเข้าใจบริบทของภาครัฐได้ดีเท่ากับธนาคารกรุงไทย
ที่เกิดขึ้นโดยรัฐและทำหน้าที่นี้มาตลอด 54 ปี
ภายใต้สมการ X2G2X
รัฐจะหมายถึงตัว G ส่วนคนไทยเป็นเหมือนลูกค้ารายย่อยแทนค่าด้วย
C ส่วนธุรกิจไทยที่ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่แทนด้วยตัว
B เพราะไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือธุรกิจล้วนต้องมีส่วนยึดโยงกับภาครัฐไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว
ดังนั้น ภาครัฐจึงเป็นเสมือนเสาหลักที่ธนาคารจะนำสมการตัวอื่นมาเชื่อมต่อจุด (Connect
the dots) ไปเรื่อยๆ
ยกตัวอย่างที่เห็นได้จากการที่ธนาคารเข้าไปมีส่วนร่วมกับโครงการเราเที่ยวด้วยกัน
ที่เริ่มต้นด้วยกระทรวงการคลังและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
โดยธนาคารทำระบบลงทะเบียนให้ และต่อเชื่อมกับโรงแรม ร้านอาหารในพื้นที่
ตลอดจนร้านค้า
ที่ขายของให้โรงแรมที่ใช้บริการชำระเงินผ่านธนาคาร
เชื่อมกับคน
มาเที่ยวตามโครงการของรัฐที่มีแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง
โดยธนาคารกรุงไทย ซึ่งจะเห็นว่าทุกๆ
การเชื่อมต่อจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งจะมีธนาคารกรุงไทยแฝงอยู่ในนั้น
หากจะเทียบกลยุทธ์ X2G2X
กับสิ่งที่คุ้นเคยคือ การดำเนินธุรกิจแบบเชื่อมต่อห่วงโซ่ Supply
Chain ที่เป็นของภาครัฐภายใต้บริบทแห่งอนาคตคือ Digital
Supply Chain ดังนั้น
การดำเนินธุรกิจของธนาคารจะต้องเชื่อมโยงไปถึงภาครัฐ และรายย่อย เอสเอ็มอี
หรือลูกค้าธุรกิจ
ที่หากจะเข้าถึงผู้ประกอบการรายหนึ่งจะต้องคิดต่อไปถึงว่าผู้ประกอบการรายนั้นจะโยงไปถึงภาครัฐที่เป็นแก่นหลัก
ของธนาคารกรุงไทยได้อย่างไรบ้าง
หรือหากจะเข้าถึงลูกค้าเอสเอ็มอีรายหนึ่ง ก็ต้องคิดต่อไปว่าเอสเอ็มอีรายนั้นขายของให้ใคร
ซื้อของจากไหน ซื้อด้วยวิธีอะไร ชำระเงินจากไหน
ทุกกระบวนการที่ธนาคารมีส่วนร่วมจะเชื่อมโยงกันโดยมีภาครัฐเป็นแกนตั้ง
“ในยุคแห่งโลกใหม่
ความคิดล้วนเปิดกว้างมากมายไปหมด แต่สำคัญคือ
จะนำความคิดที่ฟุ้งกระจายเหล่านั้นมาเชื่อมต่อให้เกิดขึ้นจริงได้อย่างไร เมื่อคนในองค์กรเข้าใจ X2G2X
ได้อย่างถ่องแท้จะมีความสำคัญกับองค์กรมาก
เพราะเมื่อธนาคารสามารถเข้าไปตอบโจทย์ลูกค้า และเชื่อมต่อจุดแต่ละจุดยึดโยงเข้ากับ
5 ecosystems
ได้แล้ว จะเป็นลายแทงตอบโจทย์คำว่า Invisible
Banking ซึ่งเป็นเป้าหมายใหญ่ที่กรุงไทยกำลังเดินหน้าไป”
เข้าสู่โลกแห่งแพลตฟอร์ม
ส่งเรือเร็วแสวงหาอนาคต
ผยงเล่าอีกว่า
จากสิ่งที่ธนาคารกรุงไทยดำเนินการไปแล้วคือการวางโครงสร้าง Electronic
Banking กระจายในพื้นที่ต่างจังหวัด
โดยมีความเชื่อว่าในอนาคตกลุ่มเหล่านี้จะเติบโตและแข็งแรง
เป็นพื้นที่ที่ทุกคนต้องเข้าไปแข่งขัน ซึ่งในวิถีใหม่มีคำว่า New Loyalty เกิดขึ้นคือ
การที่กรุงไทยเข้าไปทำให้กลุ่มฐานรากแข็งแรง พลิกจากกลุ่มที่เคยด้อยโอกาส
เป็นกลุ่มที่เข้าถึงบริการได้ และเชื่อว่าพวกเขาจะเป็น New Loyalty ที่พร้อมใช้กรุงไทยไปเรื่อยๆ
ทั้งหมดนับว่าเป็นพัฒนาการที่เกิดขึ้นโดยยกระดับระบบ Electronic Banking เข้าสู่แพลตฟอร์ม
ที่อาจจะไม่ได้เอากำไรตั้งต้น แต่เมื่อถึงจุดที่แพลตฟอร์มมีความคึกคักมากพอแล้วก็จะสร้างรายได้กลับมาภายหลัง
ทั้งนี้
ธุรกิจธนาคารยุคใหม่ต่างต้องหาพื้นที่เป็นของตัวเองเพื่อจะต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่ม
ปัจจุบันจึงได้เห็นบทบาทของธนาคารหลายแห่งที่เปลี่ยนเป็นผู้ให้บริการทางการเงิน (Banking
as a service) กล่าวคือ ธนาคารไม่ได้ให้บริการด้วยตัวเอง
แต่เอาบริการ
ของตัวเองเข้าไปเชื่อมต่อกับคนอื่น
และแบบที่สองคือ ธนาคารทำตัวเองให้เป็นแพลตฟอร์ม (Banking as a platform) ที่หมายถึง
ธนาคารมีแพลตฟอร์มเป็นของตัวเอง
และเปิดกว้างนำสิ่งที่คนอื่นทำได้ดีเข้ามาอยู่ในแพลตฟอร์มของตัวเอง
เช่น ในอดีตสาขาธนาคารพาณิชย์ในเชิงกายภาพเสมือน
เป็นแพลตฟอร์ม
ลูกค้าอยากได้ผลิตภัณฑ์และบริการของกรุงไทยต้องเดินมาที่สาขา แต่วันนี้มี Krungthai
Next ทำหน้าที่แทนสาขา
ในอนาคตไม่ว่าลูกค้าอยากจะได้ผลิตภัณฑ์หรือบริการอะไรก็หาได้ใน Krungthai
Next
“ในโลกยุคใหม่ ธนาคารจำเป็นต้องมีแพลตฟอร์มที่อาจจะไม่ได้เริ่มต้นด้วยการสร้างผลกำไรจากแพลตฟอร์มนั้น
เพราะแพลตฟอร์มใหญ่ๆ ที่เกิดโดยสตาร์ตอัพก็ไม่ได้มีกำไรในระยะแรก
แต่ต้องสร้างความคึกคักดึงดูดให้คนเข้ามาในแพลตฟอร์มของตัวเอง
แล้วเมื่อถึงจุดหนึ่งถึงจะสามารถสร้างกำไรได้เอง”
ผยงบอกอีกว่า จากเดิมธนาคารเคยมองว่าตัวเองยังห่างจากคู่เทียบในเรื่องดิจิทัล
แต่ปัจจุบันถือว่าไม่มีระยะห่างในเรื่องนั้นแล้ว
เหลือเพียงแต่จะทำอย่างไรที่จะเดินหน้าได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิมเท่านั้น
และด้วยความสำคัญของโลกธุรกิจในยุคแพลตฟอร์ม
ทำให้การขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์คู่ขนาน 2
Banking Model ที่แบ่งเป็น
แบบเรือบรรทุกเครื่องบิน (Carrier) และ แบบเรือเร็ว (Speed Boat) ต้องยิ่งเดินหน้าให้เร็วกว่าเดิม
นั่นจึงเป็นที่มาของการจัดตั้ง บริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทย
จำกัด (Infinitas by Krungthai)
“อินฟินิธัส จะเป็นเรือเร็วออกหาโอกาสดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่มีลักษณะการทำงานแบบ Resilient
& Agile ที่ยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน
โดยมุ่งเน้นการคิดค้นนวัตกรรมที่เชื่อมโยง 5 Ecosystems
ของธนาคาร
ต่อยอดความสำเร็จจากฐานข้อมูลจำนวนมากที่จะใช้ประมวลผลให้เข้าใจความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด
ลดต้นทุนการดำเนินการและสร้างรายได้ให้กับธนาคารได้อย่างยั่งยืน
เพื่อให้สามารถฝ่าฟัน Perfect Storm ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุภารกิจที่ตั้งไว้”
ผยง กล่าวด้วยว่า สำหรับแผนปี 2564
ธนาคารจะเดินหน้าภายใต้กลยุทธ์ Execution Through The Perfect Storm เป็นยุทธการฝ่าพายุวิกฤติ
ในเมื่อธนาคารกรุงไทยเดินมาถูกทิศถูกทางแล้วก็ต้องลงมือปฏิบัติให้เร็วขึ้น ชัดขึ้น
นับว่าเป็นปีแห่งการลงมือทำ โดยในด้านแรกที่จะลงมือทำคือ
การดูแลรักษาศักยภาพของการดำเนินธุรกิจของธนาคารให้เติบโตขึ้นอย่างยั่งยืน
ให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพสินเชื่อ และการดูแลลูกค้าของธนาคารอย่างต่อเนื่อง
เพื่อทำให้ลูกค้าและธนาคารสามารถผ่านวิกฤติที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ไปได้
“สิ่งที่กรุงไทยมีความโดดเด่นคือ
ศักยภาพของคนในการลงมือทำจริง เพราะแค่คิดใครๆ ก็คิดได้ แต่คนกรุงไทยลงมือทำ
ล้มลุกคลุกคลานกับการเริ่มต้นระบบมาตลอด
และไม่มีใครลงมือทำจริงได้อย่างที่กรุงไทยทำแน่นอน”
นอกจากนี้ ภายใต้ปรัชญา “กรุงไทย
เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน” ธนาคารได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับชุมชนกว่า
20 ชุมชนในการสร้างโครงการเพื่อให้ชุมชนสามารถดูแลตัวเองได้อย่างยั่งยืน เช่น
ชุมชนที่มีผลผลิตที่มีอัตลักษณ์ท้องถิ่น แต่ขาดความรู้ในการสร้างมูลค่า
ไม่มีเครือข่าย ไม่มีความรู้เรื่องการขนส่ง
หรือไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปวางสินค้าขายในตลาดอีคอมเมิร์ซอย่างไร
ธนาคารกรุงไทยก็ได้ทำหน้าที่เป็นเหมือนศูนย์ธุรกิจให้กับผู้ประกอบการชุมชนในการสร้างมูลค่า
สร้างมาตรฐานการผลิต ช่วยทำตลาดใน Social Market และ
ร่วมมือกับธุรกิจขนส่งในการจำหน่ายสินค้าของชุมชน
และยังมีอีกเรื่องที่จริงจังมากคือ
โครงการที่ร่วมกับผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UNDP) ทำการระดมทุนผ่าน
Crowd Funding ให้กับชาวบ้านในเกาะเต่าที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19
ขาดรายได้เพราะไม่มีนักท่องเที่ยว โดยจะใช้การระดมทุนผ่านระบบ e-Donation ของกรุงไทยสำหรับในประเทศ
ส่วนในต่างประเทศจะใช้ Crowd Funding ของ UNDP เพื่อนำเงินที่ได้จากการระดมทุนมาจ่ายเป็นเงินเดือนให้แก่ชาวบ้าน
ที่เคยมีรายได้จากการขับเรือรับส่งนักท่องเที่ยวเกาะเต่าเดือนละ 3,000 บาท
โดยให้งานทำคือ การเก็บขยะและดูแลรักษาทะเล
เพื่อให้ชาวบ้านดูแลสิ่งแวดล้อมของตัวเองเอาไว้
เพราะเมื่อถึงวันที่การท่องเที่ยวกลับมาจะยังสามารถคงความสมบูรณ์เอาไว้ต่อไปได้
“ในอนาคตจะเป็นการสานต่อให้เป็นเศรษฐกิจในสังคมแบ่งปัน (Sharing Economy) เชื่อมต่อกับโครงการภาครัฐอื่นๆ เช่น การใช้จ่ายในร้านค้าที่เข้าโครงการของรัฐบนเกาะจะปันเงินส่วนหนึ่งเข้าในกองทุน ซึ่งโครงการกรุงไทยรักเกาะเต่า ถือเป็นต้นแบบของโลก ที่นำเทคโนโลยีเข้าไปช่วยสร้างโครงสร้างพื้นฐานในการดูแลพื้นที่ให้เกิดความยั่งยืน เพราะเมื่อชาวบ้านรู้จักรักษาทรัพยากรก็เท่ากับรักษาชุมชนและคนในชุมชนของตัวเองด้วย”