INTERVIEW • SPECIAL INTERVIEW

Special Interview : ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออก และนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)

ผมมีความเชื่อมั่นว่า EXIM BANK เป็นหนึ่งในธนาคารที่ดีที่สุดของประเทศ และผมเป็นคนเก่าของบ้านหลังนี้ ดังนั้น การกลับมารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการในครั้งนี้ เพราะคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะนำประสบการณ์ที่ได้เก็บเกี่ยวจากข้างนอกมาบำรุงบ้านหลังที่เรารัก ให้เป็นบ้านที่มั่นคง สง่างาม และยั่งยืน

 

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร

กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออก และนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)

ในที่สุด เก้าอี้ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ก็ได้ต้อนรับ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ที่เข้ามารับตำแหน่งสำคัญนี้ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 โดยเป็นการกลับสู่ EXIM BANK อีกครั้งหลังจากเคยดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการเมื่อปี 2559

ดร.รักษ์ ให้สัมภาษณ์พิเศษ การเงินธนาคาร ว่า ถือเป็นความท้าทายในการกลับมาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการในช่วงที่มีการระบาดของ COVID-19 เนื่องจากเป็นเวลาที่ยากลำบาก อย่างไรก็ตาม ยังได้รับกำลังใจจากพนักงานทุกคนเหมือนเป็นการกลับมาที่บ้านหลังเก่า โดยมีความตั้งใจที่จะนำความรู้ และประสบการณ์ในช่วงเวลาที่ผ่านมากลับมาทำให้ EXIM BANK เป็นธนาคารที่มีความเข้มแข็ง

ผมมีความเชื่อมั่นว่า EXIM BANK เป็นหนึ่งในธนาคารที่ดีที่สุดของประเทศ และผมเป็นคนเก่าของบ้านหลังนี้ ดังนั้น การกลับมารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการในครั้งนี้ เพราะคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะนำประสบการณ์ที่ได้เก็บเกี่ยวจากข้างนอกมาบำรุงบ้านหลังที่เรารัก ให้เป็นบ้านที่มั่นคง สง่างาม และยั่งยืน

 

ชูกลยุทธ์ ซ่อม-สร้าง-เสริม

มุ่งสู่ธนาคารเพื่อการพัฒนา               

ดร.รักษ์ กล่าวว่า ในการรับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการในครั้งนี้ตั้งเป้าหมายในการขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาของประเทศ (Thailand Development Bank) เดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการทุกขนาด โดยธนาคารเพื่อการพัฒนา (Development Bank) คือ การเป็นมือขวาของรัฐในการทำหน้าที่ขยายการค้าการลงทุนระหว่างประเทศสำหรับธุรกิจไทย รวมทั้งมีบทบาทในเวทีเศรษฐกิจโลกมากขึ้น

“EXIM BANK ตั้งเป้าเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาของประเทศ โดยจะเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจชั้นนำที่มีบทบาทโดดเด่นเป็นที่จดจำ และทำให้ทุกภาคส่วน เชื่อมั่น เชื่อมือ เชื่อถือ เชื่อใจ ควบคู่ไปกับการเป็นพี่เลี้ยงให้คนตัวเล็กมีพื้นที่ในเวทีการค้าโลก

ดร.รักษ์ กล่าวว่า บทบาทการเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย จะดำเนินการด้วยกลยุทธ์ ซ่อม สร้าง และเสริม

ซ่อม คือ ซ่อมอุตสาหกรรมที่วิกฤติ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ให้กลับมาแข็งแรงและเดินหน้าต่อได้ ตลอดจนเตรียมความพร้อมในการวางโครงสร้างให้ EXIM BANK เป็น Buffer ในการรองรับกับวิกฤติที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

สร้าง คือ การสร้างอุตสาหกรรมของประเทศที่มีมูลค่าเพิ่มสูง มีการใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยี เพื่อให้เป็น New Engine 
of Growth เครื่องยนต์ตัวใหม่ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง

เสริม คือ การเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศทั้งตลาดหลักและตลาดใหม่ (New Frontiers) โดยเฉพาะปิด Gap ที่ธนาคารพาณิชย์ยังไม่กล้าเข้าไป โดย EXIM BANK จะเป็น Lead Bank นำทัพพาผู้ประกอบการขยายธุรกิจไปยังประเทศใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น กลุ่มตลาด New Frontiers ซึ่งยังมีความต้องการการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม พลังงาน โครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาเมืองอยู่มาก แต่ผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ยังไม่คุ้นเคย และในกลุ่มตลาดหลักซึ่งผู้ประกอบการอาจมีข้อจำกัดด้านแหล่งเงินทุน เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในญี่ปุ่น หรือต้องการการสนับสนุนแบบอื่น เช่น การสนับสนุน M&A หรือ Joint Venture ของนักลงทุนไทย ก็นับเป็นการช่วยสร้างฐานรากให้ธุรกิจไทยแข็งแกร่งและเติบโตต่อไปในระยะยาว

คำสัญญาของ EXIM BANK ยุคใหม่คือ เราจะไปให้ไกลกว่าเดิม โดยต้องทำงานให้หนักขึ้นและไกลขึ้น เราจะไม่พาผู้ประกอบการไปตลาดเดิมๆ แต่จะบินลัดฟ้าไปอีกซีกโลกเพื่อหาตลาดที่มีศักยภาพและมีความต้องการสินค้าและบริการของผู้ประกอบการไทย

ดร.รักษ์ กล่าวอีกว่า นอกจากซ่อม สร้าง และเสริมแล้ว การมุ่งสู่การเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนา EXIM BANK ยังมีความตั้งใจในการปรับบทบาทของ EXIM BANK ในการเป็นศูนย์บริการครบวงจรเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศให้แก่ SMEs (One Stop Trading Facilitator for SMEs)

โดยปัจจุบันไทยยังมีผู้ส่งออกค่อนข้างน้อย แม้ SMEs มีมากถึง 3.1 ล้านราย แต่มีไม่ถึง 1% หรือราว 24,000 ราย ที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกได้ ทำให้ SMEs ส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสเติบโตได้มากนัก อีกทั้งต้องเผชิญข้อจำกัดในประเทศ เช่น ตลาดขนาดเล็ก สังคม ผู้สูงอายุ รวมถึงปัญหาการแข่งขันที่รุนแรง เนื่องจากคนขายเพิ่มขึ้น แต่คนซื้อเท่าเดิม ซึ่งสาเหตุที่ SMEs ไม่ส่งออก เนื่องจากมองว่าการส่งออกเป็นเรื่องยาก

ดังนั้น EXIM BANK จะเปลี่ยนภาพเหล่านั้นด้วย One Stop Trading Facilitator for SMEs บริการครบจบที่เดียว โดยจะสร้างโอกาสให้ SMEs เข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อทั่วโลก เริ่มตั้งแต่ Training 
บ่มเพาะความรู้ด้านการส่งออก กระบวนการและเอกสารที่เกี่ยวข้อง Assessment มีแบบประเมินความพร้อมด้านการส่งออกด้วยระบบประเมินความพร้อมผู้ส่งออก (Thailand Export Readiness Assessment and Knowledge Management : TERAK)
Finance สนับสนุนด้านเงินทุนตลอดวงจรธุรกิจ Business Matching การจับคู่ธุรกิจ เพื่อช่วยให้รู้จักและเข้าถึงผู้ซื้อในต่างประเทศ

“One Stop Trading Facilitator for SMEs จะดำเนินการด้วยแนวคิด 2 ต่อคือ ต่อเติมองค์ความรู้ บ่มเพาะทักษะส่งออก และต่อยอดเงินทุน เสริมสภาพคล่องตลอด Supply Chain ของการส่งออก พร้อมบริการส่งออกครบจบที่เดียว เพื่อเปลี่ยนภาพการส่งออกให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับ SMEs”

 

เยียวยาผู้ประกอบการ-ยกเครื่ององค์กร

ภารกิจหลัก EXIM BANK ในปี 2564

ดร.รักษ์ กล่าวว่า สำหรับภารกิจหลักของ EXIM BANK ในปี 2564 มีด้วยกัน 2 ภารกิจ คือ

ภารกิจต่อผู้ประกอบการ โดยถือเป็นวาระเร่งด่วนที่สุดตอนนี้ นั่นคือการช่วยชีวิตและเร่งเยียวยาผู้ประกอบการจากวิกฤติ COVID-19 ทั้งการห้ามเลือดผู้ประกอบการด้วยการพักชำระหนี้เงินต้น รวมถึงผ่อนปรนเงื่อนไขต่างๆ ให้ยืดหยุ่นขึ้น โดยล่าสุด EXIM BANK
ได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ได้แก่ มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ มาตรการสินเชื่อ CLMV อุ่นใจ มาตรการเยียวยาธุรกิจไทยในเมียนมา และมาตรการสมัครใจพักหนี้

ภารกิจต่อองค์กร จะดำเนินการใน 3 ด้าน ได้แก่

         Rebuild คือ การเปลี่ยนโครงสร้างขององค์กร โดยทำให้โครงสร้างของธนาคารปัจจุบันที่กระจัดกระจาย มารวมศูนย์กันได้โดยการใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนช่วย

         Rebrand คือ การสร้างจุดยืนของ EXIM BANK ใหม่ สร้างตัวตนใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ทั้งผู้ประกอบการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของธนาคาร ทำลายความเชื่อเดิมให้เห็นว่า EXIM BANK ไม่ได้ดูแลเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่ แต่เป็นแบบ Twin Turbo ดูแลรายใหญ่ ไม่ทิ้งรายเล็ก

        Reset Mindset คือ การสร้างความเชื่อของคนในองค์กรว่าสามารถสานต่อนโยบายการกลับมาเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาได้ ให้องค์กรมีความเป็น Customer Centric หรือยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง มี Customer Touch Point มากขึ้น

ขณะที่ การบริหารทรัพยากรบุคคลจะให้มีสวัสดิการที่ตอบโจทย์กับพนักงาน เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลกับภาระต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีความตั้งใจที่จะดูแลพนักงานที่เกษียณแล้ว โดยทำให้มีพื้นที่ในการทำงาน เช่น เป็นพี่เลี้ยงให้พนักงานใหม่ หรือการเป็นโค้ชให้พนักงานรุ่นน้อง

ในมุมของการดูแลพนักงาน เราต้องทำให้เขามีความสุข ปลอดภัย เมื่อเขารู้สึกว่าสามารถฝากชีวิตไว้กับเราได้ เขาจะเต็มใจทำงานให้องค์กรอย่างเต็มที่ ขณะที่คนเกษียณที่ยังอยากทำงานก็ต้องสร้างพื้นที่ให้เขา เช่น ให้มาเป็นโค้ชให้กับน้องๆ

นอกจากนี้ EXIM BANK จะมีการยกเครื่องการทำงานใหม่ของด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เร่งการปรับปรุงระบบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและให้บริการลูกค้าได้รวดเร็วมากขึ้น

รวมไปถึงการเตรียมเพิ่มช่องทางดิจิทัล (Digital Touch Points) ที่หลากหลาย และตอบโจทย์ลูกค้าครอบคลุมทุกกลุ่มมากขึ้นทั้งช่องทางการทำธุรกรรม การรับบริการ การรับข้อมูลข่าวสารที่ครบถ้วน เช่น EXIM ONE Number 24/7 ซึ่งให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง EXIM ONE Platform ซึ่งเป็นการให้บริการแพลตฟอร์ม My EXIM ในรูปแบบแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน ล่าสุดเตรียมเปิดช่องทาง Line Official ให้ผู้ประกอบการเข้ามาสอบถามข้อมูลต่างๆ และขอคำปรึกษา

ปัจจุบัน EXIM BANK มีจำนวนลูกค้าที่แอคทีฟอยู่ที่ประมาณ 4,000 ราย ซึ่งในระยะเวลา 4 ปีของการดำรงตำแหน่งกรรมการ ผู้จัดการ ผมตั้งเป้าทำให้จำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ราย และไม่ใช่แค่ลูกค้าสินเชื่อแต่รวมถึงลูกค้าในด้านอื่นๆ เช่น การให้ความรู้ การรับประกันต่างๆ โดยในการไปให้ถึงเป้าหมายจะขับเคลื่อนด้วย 2 ภารกิจหลักคือการดูแลผู้ประกอบการและการพัฒนาองค์กร

 

Re ขับเคลื่อนส่งออกไทย

หลังวิกฤติ COVID-19

ดร.รักษ์  กล่าวว่า เมื่อสถานการณ์ COVID-19 ผ่านพ้นไปแล้ว EXIM BANK ได้วางแนวทางในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและขับเคลื่อนการเติบโตของภาคส่งออกโดยใช้กลยุทธ์ 3Re ปรับเครื่องยนต์ยกแผง สร้างมูลค่าเพิ่ม ขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน ได้แก่

         Reboot โดยเร่งฟื้นฟูอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับภาคส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติหรือขาดสภาพคล่อง รวมถึงกระตุ้นให้ตลาดกลับมาน่าสนใจ โดยเฉพาะสินค้ากลุ่ม Commodity ที่ไทยถือเป็น Top 5 ผู้ส่งออกของโลกมาโดยตลอด เช่น ข้าว ยางพารา เพื่อเร่งเครื่องให้ภาคส่งออกกลับมาเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีกครั้ง

         Restructure โดยพัฒนาอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูง เพื่อยกระดับสินค้าไทยให้มีมูลค่าเพิ่มสูงและเชื่อมโยงกับ Supply Chain เส้นใหม่ของโลกได้อย่างไร้รอยต่อ ได้แก่ S-Curve เช่น EV, HealthTech, Digital, Robotics/Automation รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (ECC) เช่น High-speed Rail, Smart Cities, Digital & Innovation Park

         Rebalance โดยมุ่งสนับสนุนโครงการลงทุนที่เน้นรักษาสมดุลของการเติบโตทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ Bio-Circular-Green Economy ด้วยการสนับสนุน Green/Almost Green Financing และ Renewable Energy ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญและจุดแข็งของ EXIM BANK

โดยล่าสุด EXIM BANK สนับสนุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมแห่งใหม่ที่จังหวัดยาไล ประเทศเวียดนาม มูลค่า 73.95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2,300 ล้านบาท) กำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความมั่นคงทางพลังงานในภูมิภาคอาเซียน

 

แก้ปัญหา 4 ขาดของ SMEs

ด้วย 4 เติมเสริมแกร่งของ EXIM BANK

ดร.รักษ์ กล่าวถึงปัญหาที่ SMEs ประสบอยู่ในปัจจุบันว่า SMEs ส่วนใหญ่ค่อนข้างเปราะบาง ยิ่งพอมาเจอกับวิกฤติยิ่งฉุดรั้งให้การประคองธุรกิจของ SMEs อยู่รอดปลอดภัยเป็นไปอย่างยากลำบาก ดังนั้น EXIM BANK จึงได้มีแนวทาง 4 เติมเสริมแกร่งเพื่อช่วยให้ SMEs ผ่านปัญหาและความท้าทายต่างๆ ไปได้

“EXIM BANK ในฐานะพี่เลี้ยงของ SMEs จะเข้ามาช่วยปลดล็อกข้อจำกัดที่ทำให้ SMEs ยังติดกับดักตลาดในประเทศ พร้อมติดปีกให้ SMEs โกอินเตอร์ เพื่อให้สามารถฟันฝ่าวิกฤติและความท้าทายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

 

ส่งออกเป็นความหวังเศรษฐกิจไทย

คาดปี 2564 ขยายตัว 5.5-6.5%

ดร.รักษ์ ยังได้กล่าวถึง ทิศทางเศรษฐกิจและการส่งออกในครึ่งหลังของปี 2564 ว่า เศรษฐกิจไทยปี 2564 เผชิญบาดแผลที่ลึกขึ้นหลังมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอก 3 โดยก่อนหน้านี้ หลายหน่วยงานเศรษฐกิจสำคัญคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ 2.5-3.0% แต่ปัจจุบันได้มีการทยอยปรับลดลงต่อเนื่อง

ล่าสุดหน่วยงานเศรษฐกิจหลายแห่งได้ส่งสัญญาณว่า อาจปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้ลงเหลือ 1-2% ขึ้นอยู่กับอัตราความเร็วในการกระจายวัคซีน โดยภาคส่วนที่จะยังได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 คืออุปสงค์ในประเทศและการท่องเที่ยว

โดยอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มชะลอลงมากกว่าที่คาด โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนที่ถูกกดดันจากกิจกรรมเศรษฐกิจบางส่วนที่ถูกจำกัด ความเชื่อมั่นและการจ้างงานที่ลดลง โดยเฉพาะภาคบริการ ปัจจัยดังกล่าวเข้ามาซ้ำเติมปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ระดับสูงเกือบ 90% ต่อ GDP

 อย่างไรก็ตาม การที่ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม อาทิ การเพิ่มเงินโครงการเราชนะ เรารักกัน และคนละครึ่งเฟส 3 ซึ่งมีมูลค่ารวมกันราว 2.5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 1.5% ต่อ GDP อาจช่วยบรรเทาภาระของผู้บริโภคได้ระดับหนึ่ง

ขณะที่การท่องเที่ยวยังเผชิญมรสุมต่อเนื่อง โดยเฉพาะแผนการเปิดประเทศที่อาจจะมีการเลื่อนออกไป เนื่องจากการกระจายวัคซีนที่ยังล่าช้า ทำให้หลายฝ่ายคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติ ปีนี้อาจจะอยู่ที่เพียงราว 1 ล้านคนเท่านั้น เทียบกับช่วงปกติที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยสูงถึง 40 ล้านคน

 ทั้งนี้ ภาคการท่องเที่ยวมีสัดส่วนสูงถึง 18% ต่อ GDP (รายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 12% และนักท่องเที่ยวในประเทศ 6%) ที่สำคัญคือ ภาคการท่องเที่ยวสร้างรายได้ลงลึกไปถึงชุมชนในพื้นที่การท่องเที่ยวนั้นๆ ได้โดยตรง

ดร.รักษ์ กล่าวว่า ปัจจัยกดดันดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ อาจต้องฝากความหวังไว้ที่การส่งออกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดี โดยล่าสุดการส่งออกไตรมาสแรกปี 2564 ขยายตัวที่ 2.3% ทำให้ EXIM BANK คาดว่ามูลค่าส่งออกทั้งปี 2564 จะขยายตัว 5.5-6.5%

การส่งออกของไทยได้ปัจจัยสนับสนุนจากฐานมูลค่าส่งออกปี 2563 ที่อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดี โดย IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะขยายตัวได้ 6% สูงสุดตั้งแต่เก็บสถิติมา ได้มีแรงหนุนหลักจาก การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของสหรัฐฯและจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 และ 2 ของไทย มีสัดส่วนรวมกันเกือบ 30% ของมูลค่าส่งออกรวม

นอกจากนี้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มกระเตื้องขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ส่งผลดีต่อสินค้าส่งออกที่เกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมันของไทย (สัดส่วนราว 15% ต่อการส่งออกรวม) อาทิ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง น้ำมันสำเร็จรูป ยางพารา เป็นต้น รวมถึงข้อตกลง RCEP ที่จะมีผลบังคับใช้เร็วๆ นี้ จะช่วยเพิ่มแต้มต่อด้านภาษีให้สินค้าไทย อาทิ ผัก-ผลไม้แช่เย็น แช่แข็งและแปรรูป จะได้รับยกเว้นภาษีนำเข้าจากจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

ตลอดจนสินค้าไทยมีความหลากหลายและทนต่อแรงเสียดทานได้ดี ทั้งสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม โดยจะสังเกตเห็นว่าในช่วงที่สินค้าอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจาก COVID-19 และสงครามการค้า แต่สินค้าเกษตรและอาหารรวมถึงสินค้าทางการแพทย์และอิเล็กทรอนิกส์หลายรายการก็ยังเป็นที่ต้องการในตลาดโลก

อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตามอง ปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระทบโมเมนตัมในการฟื้นตัวของการส่งออก อาทิ การระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ในหลายประเทศ การเร่งตัวขึ้นของหนี้ในประเทศคู่ค้า อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวน ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร นักอ่านและสะสมความรู้

จากหนังสืออาจารย์หม่อม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช

อาจารย์หม่อมเป็นต้นแบบของ มืออาชีพในทุกด้านที่สนใจและลงมือทำ เราอาจจะคิดและทำแตกต่างกัน แต่เราอยู่ร่วมกันในสังคมที่เห็นต่างได้บนหลักคติธรรมและเหตุผล

ผมมักจะหากิจกรรมและงานอดิเรกหลายๆ อย่างทำในวันว่าง งานอดิเรกอย่างหนึ่งที่ชอบและทำมาตลอด คือ การอ่าน ผมอ่านหนังสือทุกชนิด ทั้งหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และหนังสือต่างๆ นอกจากการหาความรู้เพิ่มพูนที่เกี่ยวข้องกับงานแล้ว ผมหลงใหลเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ ธรรมะ และวรรณกรรมต่างๆ” ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) บอกเล่าให้ฟังถึงงานอดิเรกที่ชื่นชอบ

นักเขียนคนโปรดที่ทำให้ผมหลงรักการอ่านมาแต่ไหนแต่ไร คือ อาจารย์หม่อม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ปูชนียบุคคลที่ทรงเสน่ห์ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีพรสวรรค์ที่ยากจะหาใครเทียบชั้นได้ ผมได้รู้จักท่านผ่านการอ่านงานเขียนของท่านแล้วรู้สึกเหมือนได้เข้าไปในอีกโลกหนึ่งที่มีตัวละครของท่านอยู่จริง บุคคลที่ท่านเขียนถึงเสมือนมีชีวิตและมีเลือดเนื้อจริงๆ ทุกถ้อยคำที่บรรยายทำให้ผู้อ่านจดจำบุคลิก อุปนิสัย และการกระทำของตัวละครในงานเขียนนั้นได้อย่างแม่นยำ

ตอนนั้นผมยังเด็กเกินกว่าจะได้เห็นบทบาททางการเมืองของอาจารย์หม่อม แต่ผมได้อ่านและเรียนรู้แนวคิดและแนวทางการทำงานด้านการเมืองของท่านจากงานเขียนและการศึกษาชีวประวัติท่าน ท่านมีสไตล์การทำงานและบุคลิกที่โดดเด่นไม่เหมือนใครเป็นนักการเมืองฝีปากจัดจ้านที่เป็นตัวของตัวเอง มีกลยุทธ์ที่แยบยลและวาทะอันแสบสัน จนเป็นที่มาของฉายา เฒ่าแสบ” “เฒ่าสารพัดพิษ” “เสาหลักประชาธิปไตยและ ผู้เฒ่าซอยสวนพลู

ไม่ว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบสไตล์ของท่าน แต่ทุกคนต้องยอมรับว่า ท่านเป็นนักการเมืองที่เก่งกาจ หาตัวจับได้ยากคนหนึ่ง ท่านทำมาแล้วแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการก่อตั้งพรรคการเมือง เช่น พรรคก้าวหน้า ซึ่งยุบรวมกับพรรคประชาธิปัตย์ในเวลาต่อมา และต่อมาได้ก่อตั้งพรรคกิจสังคม ท่านเป็นผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 13 ของประเทศไทย โดยสามารถเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้ด้วยจำนวน ส.ส. ในมือเพียง 18 คน

ความเป็นปราชญ์ของอาจารย์หม่อม ประกอบกับตัวตนที่มีอัตลักษณ์หลากหลาย อาทิ ความเป็นราชนิกูล ภูมิหลังการศึกษาขั้นสูงจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศ ความเป็นผู้นำที่มีไหวพริบ ฉลาดหลักแหลม ความรู้ความสามารถระดับพหูสูตในหลายๆ ด้าน อาทิ พุทธศาสนา วรรณกรรม

ประสบการณ์การทำงานในฐานะนักหนังสือพิมพ์และนักการเมืองในระดับสูงสุดของประเทศ ทำให้งานเขียนอาจารย์มีอัตลักษณ์แตกต่างกันไป แต่ทุกชิ้นร้อยเรียงด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย คมคาย กระชับ แฝงไปด้วยอารมณ์ ความละเอียด และสอดแทรกมุมมองและคติสอนใจทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม

วรรณกรรมของอาจารย์หม่อมทำให้ผมยิ่งสนใจศึกษาชีวประวัติของท่าน ทำให้ผมสนใจเรื่องราวรอบตัว การเมืองการปกครอง รวมถึงศิลปะการพูดและการเขียนอย่างมีชั้นเชิงและมีเสน่ห์ชวนหลงใหล หนังสือของอาจารย์หม่อมจึงกลายเป็นของสะสมที่ผมต้องหามาเก็บและหยิบมาอ่านมากกว่า 1 ครั้ง

ไม่ว่าจะเป็นสี่แผ่นดิน ไผ่แดง กาเหว่าที่บางเพลง ซูสีไทเฮา สามก๊กฉบับนายทุน ราโชมอน ฮวนนั้ง มอม เพื่อนนอน ฉากญี่ปุ่น ยิว เจ้าโลก สงครามผิว คนของโลก ชมสวน น้ำพริก ฝรั่งศักดินา สรรพสัตว์ สัพเพเหระคดี ข้อคิดเรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย พม่าเสียเมือง ถกเขมร เก็บเล็กผสมน้อย เบ้งเฮ็ก ผู้ถูกกลืนทั้งเป็น เมืองมายาเรื่องขำขัน หนังสือของอาจารย์ที่เป็นเล่มโปรดสุดๆ ของผม คือ หลายชีวิต” “โจโฉ นายกฯ ตลอดกาล” “โครงกระดูกในตู้” “ธรรมคดีและ กาเหว่าที่บางเพลง

หนังสือทั้งหมดเหล่านี้ให้แง่คิดมากมาย ผมได้เรียนรู้สัจธรรมของทุกชีวิตบนโลก รวมไปถึงมนุษย์ต่างดาวที่มาจากโลกอื่น ล้วนหนีไม่พ้นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และความสูญเสีย จากหนังสือ กาเหว่าที่บางเพลงที่สอนให้ผมรู้ว่า วิทยาศาสตร์กับพุทธศาสนาเป็นเส้นขนานที่คู่กันและไปด้วยกันได้

ผมได้เรียนรู้ว่า เมื่อคนๆ หนึ่งได้รับอำนาจอยู่ในมือ เขาอาจจะกลายเป็นคนใจร้ายอำมหิต แต่นั่นเพราะเขาต้องพยายามดำรงอำนาจไว้กับตนเองให้นานที่สุด ถ้าพิจารณาด้วยเหตุผลแล้ว เราจะเห็นว่า เขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่มีความโลภ โกรธ หลง และความปรารถนาต่างๆ ที่ถูกบ้าง ผิดบ้าง จากหนังสือ สามก๊ก-ฉบับนายทุน ตอน โจโฉ นายกฯ ตลอดกาล

อาจารย์หม่อมเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อ 70 กว่าปีก่อน โดยเล่าเรื่องเชิง Behavior-based Approach ได้อย่างน่าทึ่ง เปรียบเทียบเชิงพฤติกรรมผู้บริหารและนักการเมืองในปัจจุบันกับตัวละครใน สามก๊กซึ่งเป็นวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์และตำราพิชัยสงครามภาคปฏิบัติที่เป็นอมตะนิรันดร์กาลของโลก

ผมเรียนรู้ว่า ชีวิตคนไม่ว่าจะมาจากแห่งหนใด ต่างศักดิ์ต่างฐานันดรอย่างไร ฉากสุดท้ายของชีวิตได้แก่ การลาจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับมา จากหนังสือ หลายชีวิต

เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความรู้และสัจธรรมที่สอดแทรกอยู่ในวรรณกรรมของอาจารย์หม่อม ถ่ายทอดผ่านตัวละครจากนอกโลก ในชุมชนท้องถิ่น ไปจนถึงการเมืองระหว่างประเทศ ไม่มีชีวิตใดหนีพ้นสัจธรรมของการเวียนว่ายตายเกิด เว้นเสียแต่สรรพสัตว์นั้นจะสามารถล่วงสู่นิพพานอันเป็นการดับกิเลสและหลุดพ้นจากทุกข์ ไม่เวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารอีกต่อไป คติสอนใจที่สอดแทรกในวรรณกรรมจนถึงวันนี้ยังคงมีความทันสมัยและเป็นจริงเสมอ

ผมได้อะไรมากมายจากหนังสือหนึ่งเล่มของอาจารย์หม่อมและกลายเป็น “FC” โดยแทบจะไม่รู้ตัว สิ่งที่ได้รับนอกจากเกร็ดความรู้และความรักในภาษาและวัฒนธรรมไทย คือ ความเป็นคนเปิดกว้างต่อความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม ผมเชื่อในเหตุผลและสัจธรรมของโลกใบนี้ และพยายามนำแนวคิดที่เรียนรู้มาแต่เด็กมาปรับใช้ในการทำงาน

อาจารย์หม่อมเป็นต้นแบบของมืออาชีพในทุกด้านที่สนใจและลงมือทำ เราอาจจะคิดและทำแตกต่างกัน แต่เราอยู่ร่วมกันในสังคมที่เห็นต่างได้บนหลักคติธรรมและเหตุผล โดยความเห็นต่างจะไม่นำไปสู่ความรุนแรงและความขัดแย้งที่บานปลาย ในทางกลับกันเราจะมีภูมิคุ้มกันต่อการรับรู้และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงและความหลากหลายทางสังคมได้ดี สนุกกับการเรียนรู้และเติบโตทางความคิดยิ่งๆ ขึ้นไปครับ  




ติดตามคอลัมน์ Special Interview ได้ในวารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนมิถุนายน 2564 ฉบับที่ 470 บนแผงหนังสือชั้นนำทั้่วประเทศและในรูปแบบดิจิทัล : https://goo.gl/U6OnIi