Special Interview : วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน
วิทัย รัตนากร
ผู้อำนวยการ
ธนาคารออมสิน
มุ่งสู่ Social Bank
Making
POSITIVE Impact on Society
ธนาคารออมสินอยู่เคียงคู่กับสังคมไทยมากว่า 107 ปี
โดยมุ่งดำเนินการตามพันธกิจในการส่งเสริมการออมและสร้างวินัยทางการเงิน
ยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
รวมถึงการเป็นธนาคารเพื่อสังคมและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง
จนวันนี้วิทัย
รัตนากรผู้อำนวยการธนาคารออมสินคนที่ 17 ประกาศนำทัพธนาคารออมสินสู่การเป็น Social Bank หรือ
ธนาคารเพื่อสังคมอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างผลเชิงบวกแก่สังคม “Making POSITIVE Impact on Society” มุ่งเน้นดูแลผู้มีรายได้น้อย
ผู้ประกอบการรายย่อย และชุมชน ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ยกระดับรายได้
และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ
“ออมสินเติบโตมากับลูกค้ากลุ่มลูกค้าฐานราก
ซึ่งแม้ว่าในอดีตอาจมีบางช่วงที่มีความจำเป็นที่ต้องขับเคลื่อนลูกค้ากลุ่มอื่นเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้มีความทันสมัย
แต่ตอนนี้ภารกิจนั้นสำเร็จไปแล้วถึงเวลาที่ต้องกลับมาเป็นโซเชียลแบงก์ดูแลลูกค้ากลุ่มฐานรากเพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมอันเป็นตัวตนที่แท้จริงของธนาคารออมสิน”
เปลี่ยนโครงสร้างอัตราดอกเบี้ย
เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
วิทัยกล่าวว่าในการปรับเปลี่ยนให้ธนาคารเป็นธนาคารเพื่อสังคมหรือ
Social Bank ออมสินจะมุ่งเน้นดูแลลูกค้ารายย่อยและผู้มีรายได้น้อยซึ่งธนาคารมีความเชี่ยวชาญจากประสบการณ์ที่ได้ดูแลลูกค้ากลุ่มนี้อย่างใกล้ชิดมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี
จนปัจจุบันธนาคารมีฐานลูกค้ากลุ่มนี้ถึง 12.8 ล้านราย หรือ 61.6% ของจำนวนลูกค้าทั้งหมด
โดยภารกิจแรกคือการนำธนาคารออมสินเข้าสู่ธุรกิจ
Non-Bank อย่างเต็มตัว
เพื่อช่วยเหลือประชาชนรายย่อย ผู้มีรายได้น้อยให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
และแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างผลเชิงบวกให้กับสังคมอย่างจริงจัง
เพื่อบรรเทาภาระดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบ
นอกจากนี้จะเป็นสร้างกลไกเพื่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยที่ลูกค้ากลุ่มฐานรากใช้บริการ
Non-Bank ได้แก่
สินเชื่อบุคคล บัตรกดเงินสด บัตรเครดิต สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ
ซึ่งคิดอัตราในระดับสูงถึง 24-28%
ต่อปี โดยมีเป้าหมายจะลดภาระดอกเบี้ยของผู้กู้ลงให้ได้ 8-10%
ซึ่งภารกิจนี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการธนาคารแล้วและจะเริ่มเปิดให้บริการได้ภายใน
6
เดือนนี้
“ในวันนี้สิ่งที่เห็นชัดคือนอกจากคนที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินในระบบจะมีปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบแล้ว
คนที่มีรายได้น้อยก็มีปัญหาหนี้ในระบบที่มีดอกเบี้ยสูงด้วย
ซึ่งเป็นสิ่งที่กลับด้านกับสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นคือคนที่มีรายได้สูงจ่ายดอกเบี้ยน้อย
คนที่มีรายได้ต่ำจ่ายดอกเบี้ยสูง สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้โครงสร้างความเป็นธรรมในสังคมสูญเสียไป”
วิทัยกล่าวว่า
การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบหรือทำให้โครงสร้างดอกเบี้ยในระบบลดลงได้นั้น
ออมสินต้องเข้าไปแข่งขันในตลาดเองซึ่งไม่ได้เข้าไปแข่งขันด้วยการขอเงินอุดหนุนจากรัฐบาลแต่เป็นการแข่งขันในตลาดที่เป็นธรรม
โดยการปล่อยสินเชื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนฐานรากให้มากขึ้นในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงรวมถึงมีความเร็วและการควบคุมความเสี่ยงที่ทัดเทียมกับธุรกิจNon-Bank
“ผมหวังว่าภารกิจในการเข้าไปลดดอกเบี้ยเชิงโครงสร้างจะได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการธนาคาร
พนักงานเนื่องจากสิ่งที่ทำเป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาลโดยตรงในการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบและลดความเหลื่อมล้ำ
ถึงแม้อาจจะต้องมีการรับแรงปะทะบ้างแต่เราตั้งใจทำและหวังว่าความตั้งใจนี้จะช่วยคนได้”
วิทัยกล่าวว่า
นอกจากจะเข้าไปปรับโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยให้ลดลงแล้ว
ในด้านการดูแลผู้ประกอบการรายย่อย ธนาคารจะจัดตั้งศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการรายย่อย
ที่มุ่งเป้าช่วยเหลือประชาชนในการสร้างธุรกิจ
โดยรวบรวมองค์ความรู้ในทุกด้านที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพและการทำธุรกิจ อาทิ
กลุ่ม Street Foodกลุ่ม
Homestay เป็นต้น
โดยเริ่มจากการให้ข้อมูลเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการ
ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรม การคัดเลือกลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
การวางกลยุทธ์การตลาด และสร้างช่องทางการขายการหาลูกค้า ไปจนถึงการให้สินเชื่อ
และการร่วมทุน
โดยธนาคารออมสินจะเป็นหน่วยงานรัฐแห่งแรกที่สามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการได้อย่างครบวงจร
เพื่อให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและยั่งยืน
วิทัยกล่าวว่าในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19
อีกภารกิจที่สำคัญคือการแก้ไขหนี้
โดยลูกค้าของออมสินเป็นลูกค้าบุคคลและฐานรากเป็นหลัก
ซึ่งคาดว่าหลังจากจบมาตรการพักชำระหนี้ในเดือนตุลาคมนี้แล้วจะยังมีลูกค้าที่ยังได้รับผลกระทบและยังไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ได้
ดังนั้นธนาคารออมสินได้ขยายเวลาการพักชำระหนี้ตั้งแต่เดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนธันวาคม
2563
โดยจะให้ลูกค้าเป็นผู้เลือกรูปแบบการพักชำระหนี้โดยเลือกได้ทั้งการพักเฉพาะเงินต้น
จ่ายเพียงดอกเบี้ย หรือการพักเงินต้นแต่ชำระเงินต้นเพียงครึ่งหนึ่ง
และจะให้ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะดำเนินการผ่านเว็บไซต์ แอปพลิเคชั่น MyMo หรือสาขา
“การขยายเวลาพักชำระหนี้ในรอบนี้จะให้ลูกค้ายื่นความจำนงในเดือนกันยายนนี้
และจะดำเนินมาตรการในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม
เนื่องจากหากไม่แก้ไขเรื่องหนี้ในช่วงนี้เมื่อถึงเดือนมกราคมปีหน้า อาจมีการเป็นหนี้เสียได้
ถือว่าช่วงนี้เป็นการทำภารกิจให้ประเทศ”
ขณะที่อีกภารกิจในการแก้ไขปัญหาหนี้ของธนาคารออมสินคือการแก้หนี้ข้าราชการซึ่งปัจจุบันมีสินเชื่อเพื่อบุคลากรภาครัฐกว่า
577,900
ล้านบาท เป็นจำนวน 1.11
ล้านราย โดยออมสินมีแนวทางในการแก้ไขหนี้โดยการใช้แหล่งเงินอื่นในการชำระหนี้ และ
มาตรการแก้ไขหนี้โดยสนับสนุนจากรัฐบาลและต้นสังกัด
วิทัยกล่าวว่าสิ่งที่จะทำให้ออมสินสามารถดำเนินภารกิจในการดูแลผู้มีรายได้น้อยและประชาชนฐานรากได้คือการพัฒนานวัตกรรม
บริการดิจิทัลโดยต้องมีการลงทุนทางเทคโนโลยีเพิ่มเติมซึ่ง Digital Banking และการใช้
Data Analytic จะเข้ามามีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจ
Social Bank ให้ประสบความสำเร็จ
โดยจะถูกปรับบทบาทให้เข้ามาช่วยสนับสนุนงานของสาขา และจากการแพร่ระบาดของCOVID-19
ที่ส่งผลกระทบทำให้ประชาชนต้องปรับตัวสู่การใช้ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal)
ดังนั้นธนาคารจึงเตรียมพัฒนาบริการลักษณะเฉพาะ
หรือ Feature ใหม่
บนแอปพลิเคชั่น MyMoเพื่อให้ลูกค้าไม่ต้องเดินทางไปสาขาแต่สามารถใช้บริการบนโทรศัพท์มือถือได้
เช่น บริการปรับโครงสร้างหนี้ การให้บริการสินเชื่อแบบ Digital Lending ตลอดจนบริการเปิดบัญชีเงินฝาก(e-KYC) อีกด้วย
ซึ่งจะเริ่มให้บริการได้ภายใน 6
เดือนนับจากนี้
เน้น Quality มากกว่าQuantity
มุ่งสร้าง Positive Impact ในสังคม
วิทัยกล่าวว่า
แม้ว่าออมสินจะมุ่งเน้นดูแลลูกค้ากลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้ประกอบการรายย่อยเพื่อการเป็นธนาคารเพื่อสังคม
แต่ยังคงให้ความสำคัญกับภารกิจเชิงพาณิชย์โดยจะเป็นกิจการรองเพื่อสร้างกำไรที่จะนำมาสนับสนุนภารกิจด้านสังคม
รวมถึงการสร้างความเข้มแข็งทางการเงินด้วยการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่มุ่งเน้นคุณภาพมากกว่าการเติบโตด้วยปริมาณ
ซึ่งจะเป็นการสร้างสมดุลในการดำเนินธุรกิจขององค์กร ทำให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน
(Sustainable Banking)
“ยุคของผมจะดูที่คุณภาพเป็นหลัก
เราไม่ต้องการมีขนาดที่ใหญ่แต่ไม่มีคุณภาพ ดังนั้นออมสินจะให้ความสำคัญกับ Quality มากกว่า
Quantity ขนาดไม่จำเป็นต้องใหญ่เป็นที่
1แต่อยากให้คุณภาพข้างในแข็งแรงมากกว่า
เพราะถ้าไม่มีคุณภาพก็จะไม่ยั่งยืน จะยั่งยืนได้ต้องแข็งแรงและมีขนาดที่เหมาะสม”
อย่างไรก็ตามการดำเนินภารกิจทั้งหมดจะไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้หากบุคลากรในองค์กรไม่มีความเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน
วิทัยกล่าวว่า การสื่อสารภายในจะเป็นเรื่องสำคัญมากแต่การสร้างความเข้าใจของคนในองค์กรไม่ใช่เรื่องยาก
เนื่องจากตนเองเคยทำงานกับออมสิน รู้จักคนที่ออมสินอยู่แล้ว
และสิ่งที่ต้องการเปลี่ยนในวันนี้ไม่ได้เปลี่ยนตัวตนของออมสินที่มีพันธกิจในการดูแลสังคมไปจากเดิมแต่จะทำให้มีความชัดเจนมากขึ้น
โดยการที่จะทำให้ภารกิจในการดูแลสังคมชัดเจนมากขึ้นได้ภายในองค์กรต้องมีการปรับในหลายด้าน
เช่น ลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
ปรับลดงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ขณะที่สิ่งที่ออมสินทำมาดีอยู่แล้วต้องมีการต่อยอดให้ดีขึ้น
โครงการต่างๆ ต้องดำเนินการให้เป็นรูปธรรมและมีผลต่อสังคมอย่างเห็นได้ชัด
“สิ่งที่ต้องการทำต่อจากนี้คือการสร้าง Positive Impact ให้เกิดในสังคม Impact ต้องเกิดขึ้นจริง ต้องเห็นจำนวนคนที่เราช่วยให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น จำนวนสินเชื่อในกลุ่มนี้ต้องมีมากขึ้น โครงสร้างในตลาดดอกเบี้ยต้องถูกลง ถึงแม้จะไม่ง่ายแต่ถ้าสามารถทำได้จะเป็นความสำเร็จในช่วงชีวิตของผม”
ติดตามคอลัมน์ Special Interview ได้ในวารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนสิงหาคม
2563 ฉบับที่ 460 บนแผงหนังสือชั้นนำทั้่วประเทศและในรูปแบบดิจิทัล : https://goo.gl/U6OnIi