People : วจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวางแผนกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย
วจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวางแผนกลยุทธ์
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด
สร้างผลิตภัณฑ์เพื่อความมั่งคั่ง
วางกลยุทธ์ให้องค์กรมั่นคง
ปีนี้นับเป็นปีที่หลายธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายเป็นอย่างมาก
อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19
ที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของโลกส่วนในฟากของตลาดเงินตลาดทุนเองก็เกิดความผันผวนอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
อย่างไรก็ดีหลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยเริ่มคลี่คลายลง
ภาคธุรกิจส่วนใหญ่ต่างทยอยกลับเข้าสู่โหมดปกติเพิ่มขึ้นซึ่งก็ได้เห็นการปรับทัพผู้บริหารในหลายบริษัท
หนึ่งในนั้นก็คือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด ที่ได้ วจนะ
วงศ์ศุภสวัสดิ์ กลับมาเสริมทัพเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับองค์กรอีกครั้ง
เก็บประสบการณ์
ผ่านวิกฤติต่างยุค
ปัจจุบัน วจนะ
วงศ์ศุภสวัสดิ์ เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวางแผนกลยุทธ์
บลจ.กสิกรไทย ซึ่งถือเป็นผู้บริหารอีกคนที่คร่ำหวอดอยู่ในอุตสาหกรรม บลจ.มาอย่างยาวนานถึง
17 ปี นับตั้งแต่จบการศึกษาระดับปริญญาโท
วจนะเล่าว่า
ตนคลุกคลีอยู่กับการทำหน้าที่เป็นผู้จัดการกองทุน(ฟันด์เมเนเจอร์)มาโดยตลอดการทำงานที่ผ่านมา
จนกระทั่งตัวเองรู้สึกอิ่มตัวและต้องการมองหาความท้าทายใหม่ๆ
จึงเปลี่ยนบทบาทสู่งานด้านการบริหาร ซึ่งต้องมองภาพใหญ่ของการทำธุรกิจให้ออก
เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุนและตลาด ทั้งนี้ จากประสบการณ์การทำงานที่สั่งสมมานานจึงหล่อหลอมให้ตนมีมุมมองในการทำงานที่มองได้กว้างและรอบด้านมากขึ้น
“ธรรมชาติของการเป็นฟันด์เมเนเจอร์จะใช้เวลาอยู่กับตัวเองค่อนข้างมากเพื่อคิดวิเคราะห์
และวางแผนการลงทุนเป็นหลัก แต่ก็อาจจะมีพบปะกับผู้ลงทุนบ้างเป็นบางโอกาส
ซึ่งเมื่อเปลี่ยนบทบาทสู่การเป็นผู้บริหาร
แน่นอนว่าวิถีการทำงานก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย การพบปะผู้คนมีมากขึ้นทั้งผู้ลงทุน
พันธมิตรทางธุรกิจ และที่สำคัญคือการเข้าถึงพนักงานในองค์กร
เพราะเราต้องรับฟังความคิดเห็น และอาศัยความชำนาญของแต่ละฝ่ายงาน
เพื่อปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุนอยู่เสมอ”
วจนะเล่าเสริมว่า
ตลอดระยะเวลาการทำงานที่ผ่านมาตนได้ผ่านวิกฤตการณ์การลงทุนมาหลายต่อหลายครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจปี 2549
ที่ตลาดหุ้นร่วงลงอย่างหนักจากมาตรการกันสำรองเงินทุนจากต่างประเทศ
30% รวมถึงวิกฤตซับไพร์มปี 2551 เป็นต้น ซึ่งในทุกวิกฤตตนก็สามารถบริหารกองทุนผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ด้วยดีทุกครั้ง
“บทเรียนจากเหตุการณ์ในอดีตสอนให้เรารู้ว่า
ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น
จากเดิมที่เรามุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุนที่มีนโยบายลงทุนเฉพาะภายในประเทศ
ก็เริ่มที่จะมองเห็นโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ
จึงเกิดเป็นผลิตภัณฑ์กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ในประเทศไทยขึ้นมา
เป็นต้น นอกจากนี้
ผู้ลงทุนยังได้เริ่มตระหนักและเห็นถึงความสำคัญของการสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองมากขึ้นเพื่อสามารถใช้ชีวิตให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ในวันข้างหน้าได้
โดยจะเห็นได้จากความสนใจในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เริ่มมีเพิ่มมากขึ้นในสมัยนั้น”
โจทย์ท้าทายที่รอการพิชิต
ท่ามกลางจุดเปลี่ยนธุรกิจบลจ.
วจนะกล่าวว่า
ภาพรวมของอุตสาหกรรมบลจ.ในปัจจุบันมีอัตราการเติบโตที่ไม่เหมือนเมื่อก่อน โดยจะเห็นได้ว่าปัจจุบันตัวเลขภาพรวมของอุตสาหกรรมบลจ.เติบโตเฉลี่ยอยู่ประมาณ
6-7% ซึ่งเป็นการเติบโตจากราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นไม่ได้เติบโตเพราะมีเม็ดเงินเข้ามาใหม่เหมือนในอดีต
“สาเหตุหลักน่าจะมาจากจำนวนผู้ลงทุนในกองทุนรวมมีอยู่อย่างจำกัด
ประกอบกับผู้ลงทุนที่เคยตื่นตัวและแสวงหาผลกำไรในอดีตเริ่มอิ่มตัว
ด้วยข้อจำกัดบางประการของกองทุนรวมที่อาจจะได้รับผลตอบแทนที่ไม่หวือหวาเมื่อเทียบกับการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ
อย่างเช่นการลงทุนในหุ้น เป็นต้น ดังนั้น การแข่งขันทางธุรกิจของบลจ.ในปัจจุบัน
จึงไม่ได้อยู่แค่การแข่งขันกันเองเฉพาะในธุรกิจเดียวกันอีกต่อไป
แต่เราควรมองให้เป็นการแข่งขันบนความร่วมมือร่วมใจเพื่อขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมบลจ.เติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน
ซึ่งตรงนี้ถือเป็นโจทย์ที่ไม่ง่าย และท้าทายความสามารถเป็นอย่างมาก”
อีก
1 ความท้าทายนั่นคือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุนใหม่ๆ จะไม่เป็นเรื่องง่ายอีกต่อไป
เพราะกองทุนรวมที่มีอยู่ในตลาดในเวลานี้ค่อนข้างมีให้เลือกหลากหลายและครบครันแล้ว
ประกอบกับแต่ละบลจ.เองก็มีกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนที่คล้ายคลึงกัน
จึงมองหาความแตกต่างได้ยากยิ่งขึ้น
ซึ่งสิ่งนี้เองจึงเป็นอีกความท้าทายของการเข้ามาดูแลสายงานวางแผนกลยุทธ์ให้กับบลจ.กสิกรไทย
วจนะกล่าวว่า บทบาทหน้าที่ในภารกิจครั้งนี้
ตนจะต้องรับผิดชอบสองแกนหลัก ได้แก่ กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์องค์กร
โดยในส่วนของกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ นอกเหนือจากการดูแล ติดตาม ปรับปรุง
และพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุนรวมเดิมที่วางขายอยู่แล้วนั้น
ตนจะต้องมุ่งสรรหาผลิตภัณฑ์กองทุนใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุน
และสอดรับกับสถานการณ์การลงทุนไปในเวลาเดียวกันด้วย
ส่วนกลยุทธ์องค์กร
จะเน้นสร้างความมั่นคงเป็นหลัก
เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ลงทุนที่ได้วางใจเลือกมาลงทุนกับกองทุนของบลจ.กสิกรไทย
ซึ่งที่ผ่านมาแม้ว่าสถานการณ์การลงทุนจะผันผวนรุนแรงแค่ไหน
กองทุนภายใต้การบริหารจัดการของบลจ.กสิกรไทย ก็ไม่เคยได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ขณะเดียวกันยังคงมีเสถียรภาพอยู่เสมอซึ่งถือเป็นข้อดีและต้องสานต่อในจุดนี้ต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ปรับเปลี่ยน New Channel
ให้สอดรับNew Normal
วจนะกล่าวว่า
ท่ามกลางการแข่งขันที่ทุกบลจ.ต่างมุ่งพัฒนาช่องการลงทุนใหม่ๆ
เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงผู้ลงทุนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนผ่านแอปพลิเคชัน
ซึ่งในปัจจุบันการทำธุรกรรมไม่ว่าจะเป็นการซื้อ ขาย สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลของกสิกรไทย
มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 70% ทั้งจากแอปพลิเคชัน K PLUS และ K-My Funds นอกจากนี้
ยังช่วยขยายฐานกลุ่มผู้ลงทุนหน้าใหม่ได้มากโดยเฉพาะกลุ่มผู้ลงทุน Gen Y และ
Gen Z ที่เน้นความสะดวกสบาย
และมีรูปแบบการใช้ชีวิตในแบบฉบับของตัวเองมากขึ้นไม่ลอกตามใคร
ซึ่งสิ่งที่ชวนคิดต่อไปนั่นคือ เราจะทำอย่างไรให้ผู้ลงทุนกลุ่มนี้อยู่กับเราตลอดไป
โดยที่มีความมั่งคั่งและมั่นคงผ่านกองทุนรวมได้ในระยะยาว
“การพัฒนาช่องทางดิจิทัลจะสมบูรณ์แบบได้มากที่สุดนั้น
มองว่าทุกฝ่ายงานต้องเห็นความสำคัญ พร้อมที่จะเรียนรู้ และมีเป้าหมายเดียวกันก่อน
ซึ่งนับเป็นความท้าทายอย่างมากที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันยุทธศาสตร์นี้ให้กับทุกฝ่ายได้นำไปปรับใช้ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
โดยทั้งหมดนี้จะสะท้อนออกมาเป็นผลลัพธ์ที่ผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุดนั่นก็คือ
ลูกค้า”
สไตล์การทำงานส่วนตัว
ยึดหลักทุกฝ่ายต้อง WIN-WIN
วจนะกล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับสไตล์การทำงานโดยส่วนตัวจะยึดหลักการทำงานที่ว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องควรได้รับประโยชน์จากการทำงานร่วมกัน
“ทุกคนที่เกี่ยวข้องในที่นี้หมายถึงเจ้านาย ลูกน้อง ตลอดจนเพื่อนร่วมงานต้องได้รับประโยชน์จากการประสานงานบนความเข้าใจอันดีด้วยกันทุกฝ่าย หรือแม้แต่หากมองในฐานะขององค์กรเอง ก็ควรรักษาผลประโยชน์ให้กับผู้ลงทุน พันธมิตรทางธุรกิจ รวมถึงผู้ถือหุ้นอย่างธนาคารกสิกรไทยเอง เพราะเชื่อว่าหากทุกฝ่ายได้รับสิ่งดีๆ จากเราก่อน สุดท้ายเราก็จะได้รับสิ่งดีๆ เหล่านั้นกลับมาเช่นกัน”